อาชญากรรม

'ลุงพล' ลั่นยังคิดถึง 'น้องชมพู่' เหมือนเดิม ยันไม่ได้ฆ่าหลานล้าน% - 'ป้าแต๋น' เชื่อ น้องรู้ว่าป้ากับลุงไม่ได้ทำ

โดย nattachat_c

31 ต.ค. 2566

91 views

วานนี้ (30 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีที่ศาลจังหวัดมุกดาหารนัด ฟังคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล และ น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น สองสามีภรรยา เป็นจำเลยที่ 1-2


ฟ้องนายไชย์พล จำเลยที่ 1 ในฐานความผิดฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา, พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควร, ทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกิน 9 ปีไว้ ณ ที่ใดเพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตนโดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแลเป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย, ร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทําให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป


น.ส.สมพร จำเลยที่ 2 ตามความผิดฐานร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป  กรณีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ในวันที่ 31 ต.ค. 2566 เวลา 10.00 น


โดยทางศาลจังหวัดมุกดาหารได้แจ้งเลื่อนการอ่านคำพิพากษา ซึ่งเดิมกำหนดอ่านคำพิพากษาวันที่ ต.ค. เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจร่างคำพิพากษา จึงเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปปลายเดือนธันวาคม ตามวันว่างของคู่ความ


ซึ่งทางศาลจังหวัดมุกดาหารได้แจ้งเลื่อนการอ่านคำพิพากษาให้แก่สื่อมวลชนที่ขออนุญาตมาทำข่าวในวันดังกล่าวแล้ว เนื่องจากเกรงจะเป็นที่เสียหายแก่สื่อมวลชนที่ต้องจัดเตรียมคนและอุปกรณ์เดินทางมาทำข่าว

----------

ในส่วนของ นายไชย์พล วิภา หรือว่าลุงพล และ นางสถาพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น ลุงเขยและป้าของน้องชมพู่ ก็ย้ายบ้านไปอาศัยอยู่ พื้นที่อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ที่ “วังปู่ปาริจิต” ซึ่งเป็นที่อยู่ใหม่


โดยลุงพลและป้าแต๋นยังใช้ชีวิตปกติ ส่วนการฟังคำตัดสิน แม้ว่าจะเลื่อนออกไป ก็ต้องไปศาลตามนัด


ซึ่งยอมรับว่า ตอนแรกที่ตกเป็นผู้ต้องหา ตนก็กังวลใจเพราะยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการในการพิจารณาคดี แต่เมื่อได้เข้าสืบพยานทุกปากเสร็จสิ้นในศาล ก็สบายใจ และเชื่อว่าสิ่งที่แถลงในศาลนั้นเป็นการพิสูจน์ เพราะพิสูจน์ตัวเองผ่านกระบวนการยุติธรรม


จากชาวบ้านธรรมดาเป็นเซเลบฯที่มีคนติดตามชีวิตตนเอง และป้าแต๋นตลอดเวลา เพื่อให้คนเห็นว่าชีวิตลุงกับป้าเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม


“โดยยอมรับว่า มีบางช่วงที่คิดถึงน้องชมพู่ เพราะก็เคยดูแลมาตลอด ถึงแม้จะจากไปแล้วก็ยังเป็นลูกหลาน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูล”


ที่ผ่านมา ยอมรับว่า ตนรู้สึกว่าเป็นแพะรับบาปในคดีนี้ แต่กระบวนการยุติธรรมจะเป็นตัวพิสูจน์ว่าตัวเองผิดจริงหรือไม่ ซึ่งตนมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่าวันที่น้องชมพู่หายตัวไป ผมไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน และเชื่อว่าไม่ว่าจะออกในแนวทางไหน คดีนี้น่าจะต้องสู้ในถึง 3 ศาล


ขณะที่ นางสมพร หรือป้าแต๋น กล่าวว่า สำหรับเรื่องที่ทนายของตน ให้สัมภาษณ์ว่า พูดว่าน้องชมพู่อาจเดินตามสุนัข และขึ้นไปเสียชีวิตเอง บอกว่า ให้ยึดตามที่ทนายพูดเพราะตรงกับแนวทางต่อสู้ของตนเองตลอดมา เชื่อว่ามีโอกาสเป็นไปได้ โดยส่วนตัวรู้สึกโล่งตั้งแต่วันที่สืบพยานได้ขึ้นศาลแล้วได้พูดทุกอย่างออกไป เพราะมั่นใจว่าตนเองและสามีบริสุทธิ์


ป้าแต๋น ยังบอกอีกว่า หลังจากตกเป็นจำเลย ไม่ได้พูดคุยกับฝั่งแม่ของน้องชมพู่เลย จากที่เคยพูดคุยกันได้ โดยที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ลุงกับป้าที่ได้รับผลกระทบ แต่ลูกชาย 2 คน ก็ถูกได้รับผลกระทบเช่นกัน

----------

เวลา 22.00 น. นายไชย์พล วิภา พร้อมนางสมพร หลาบโพธิ์ จำเลยคดีน้องชมพู่ หรือ ลุงพล-ป้าแต๋น และทีมทนายความ ร่วมกันหลังแถลงข่าว มีรายงานว่า ศาลจังหวัดมุกดาหารจะเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษา จากกำหนดเดิมในวันนี้ (31 ต.ค. 66) ไปเป็นช่วงปลายเดือนธันวาคม


โดย นายสุรชัย ชินชัย (คนนั่งกลาง) หรือ “ทนายเบิ้ม” หัวหน้าทีมทนายความ บอกว่า วันนัดฟังคำพิพากษา หลังสืบพยานเสร็จทั้ง 2 ฝ่าย เป็นขั้นตอนของศาลกระทำกับจำเลย คือวินิจฉัยและอ่านให้จำเลยฟัง ส่วนจำเลยคือเตรียมตัวเตรียมใจ เพราะคำพิพากษาอาจเป็นได้ทั้งบวกและลบ ต้องพร้อมรับในคำตัดสินของศาล และเตรียมหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวหากผลเป็นลบ


ส่วนข่าวว่าศาลเลื่อนกระทบกับคดีหรือไม่ ทนายบอกว่ายังไม่ชัดว่าจะเลื่อนจริงตามข่าวหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาหากจะมีการเลื่อน จะไม่ได้บอกก่อน แบบนี้ แต่จะบอกต่อหน้าโจทก์และจำเลยในวันที่นัดเลย เพื่อแจ้งเหตุผลต่อหน้าว่าเลื่อนเพราะเหตุผลใด


ส่วนเรื่องคดีความ ยืนยัน มาตลอดว่าลุงพล ป้าแต๋น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และยังสมัครใจไปเข้าเครื่องจับเท็จ ทำทุกอย่างตามที่พนักงานสอบสวนจะสั่งให้ทำเพื่อที่จะหาคำตอบในคดีนี้ โดยผลปรากฎ ของเครื่องจับเท็จระบุว่า เป็นภาวะปกติ นั่นหมายถึงลุงพลไม่มีพิรุธ // ไม่มีจิตวิปริตหรือฟั่นเฟือน ซึ่งก็น่าจะยืนยันความบริสุทธิ์ใจ


ส่วนการสูญเสียน้องชมพู่ นอกจากลุงพลและป้าแต๋น จะมีคนอื่นเกี่ยวข้องหรือไม่ในการสืบพยานมีการหักล้างว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยว เช่น ถ้าลุงพลอุ้มน้องไปวันเกิดเหตุขณะใส่เสื้อผ้า ต้องพบดีเอ็นเอลุงพลในเสื้อผ้าที่น้องใส่ ส่วนใครเกี่ยวข้อง เป็นหน้าที่ผู้กล่าวหาต้องตอบให้ได้ ส่วนของเรา มองว่าน้องสนิทกับสุนัข เป็นไปได้หรือไม่ว่าน้องวิ่งตามสุนัขพาออกไปจนสุนัขทิ้ง แล้วน้องผจญไปตามยถากรรม และภูเหล็กไฟไม่มีแหล่งน้ำให้น้องประทังชีวิต เลยเสียชีวิตเนื่องจากขาดน้ำ // นอกจากนี้ หากมีคนพาไปต้องมีมูลเหตุจูงใจ เช่น ขัดผลประโยชน์ แย่งอำนาจบารมี หรือทางกามารมย์ แต่ลุงพลไม่มี


ส่วนเส้นผมที่พบข้างศพ และในรถลุงพล ลักษณะเหมือนถูกสับนั้น ในชั้นศาลมีการหักล้างประเด็นนี้อย่างไร ทนายบอกว่า


“เส้นผมดังกล่าวถูกตัดด้วยคมมีดด้านเดียว และมีดด้ามนี้ก็ไม่พบดีเอ็นเอลุงพล นอกจากนี้การค้นพบในรถลุงพล ทีมทนายเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่มีข้อกังขา ทั้งไม่มีหมายค้น ไม่แจ้งผู้ใหญ่บ้าน ผู้สื่อข่าว แล้วให้บันทึกว่ามีการค้น / ตรงข้ามลุงพลรู้หลังถูกฟ้องว่าค้นพบเส้นผมในรถ ซึ่งนี่ก็เป็นข้อหนึ่งที่ใช้ต่อสู้”


ด้านนายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” บอกว่า ระยะเวลาที่ตกเป็นผู้ต้องหาจนถึงปัจจุบันก็รอวันที่ 31 ตุลาคมว่าศาลตัดสินแบบไหน และส่วนตัวก็ยังหวังว่าวันนี้ (31) จะได้ฟังคำพิพากษา ส่วนหากจะเลื่อนออกไปหรือไม่อย่างไรก็จะรอฟังเหตุผลของศาล


“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ขอยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองล้านเปอร์เซ็นต์ว่าตนเองและป้าแต๋นไม่ได้ฆ่าน้อง”


โดยเหตุการณ์ตอนที่น้องชมพู่หาย ตนเองอยู่กับแม่ของน้องชมพู่ ดังนั้น คนที่ตอบได้ดีที่สุดคือพี่สาวของน้องเพราะอยู่กับน้องเป็นคนสุดท้าย


เมื่อถามว่า หากน้องชมพู่รับรู้ได้ อยากฝากอะไรถึงน้องหรือไม่ // “ลุงพล” บอกว่า ชมพู่เป็นหลานคนที่ 5 ถ้าฝากถึงน้องได้ หากยังอยู่น่าจะโตแล้ว ในเครือญาติก็ดูแลกัน ถ้าเกิดเขาโต ก็คงต้องดูแลต่อไปเหมือนที่พ่อแม่ดูแล ยืนยัน “ลุงป้าจะทำอย่างดีที่สุดในการหาตัวคนที่ทำกับน้องชมพู่ ถ้าเกิดว่ามีคนทำ”

ส่วนกรณีที่หลายคนสงสัยว่าเหตุใดลุงพลช่วงหนึ่งมีการพูดถึงว่าการพูดความจริงไม่จำเป็นต้องพูดเหมือนกันทุกครั้งเรื่องนี้ ลุงพลชี้แจง ว่าเป็นการพูดที่หมายถึงการพูดเหมือนเดิมซ้ำๆ อาจจะไม่เหมือนกันทุกครั้งไม่ใช่ว่าเป็นการพูดไม่ตรงกัน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้สังคมเข้าใจผิด อยากบอกว่าความจริง “ความจริงก็คือความจริง” ซึ่งเป็นวลีของครูปรีชา แต่มันคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจะเลี่ยงความจริงไม่ได้


“หากจะให้พูดกี่ล้านก็พูดเหมือนเดิมว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่”


ทีมข่าวของเรา ถาม นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋นว่าหากน้องชมพู่รับรู้ได้ จะบอกอะไร ป้าแต๋นเชื่อว่า “ชมพู่รู้อยู่แล้วว่าลุงป้าไม่ได้ทำ (เสียงสั่นจะร้องไห้) ขอให้ชมพู่ดลจิตดลใจ ให้คนที่ใส่ร้ายลุงกับป้าฉิบหายวายวอด” เพราะชมพู่ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร


ป้าแต๋น ยังบอกว่าตลอดระยะเวลา 3 ปี อึดอัดและอดทนมานานเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งโดนกระแสโจมตีและครอบครัวมีปัญหาโดยเฉพาะลูกชายของป้าแต๋นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นจึงอยากฟังคำตัดสิน หากคำตัดสินมีผลเป็นบวกจะขอหยุดทุกอย่างและอยู่กับครอบครัว และจะพิจารณาเรื่องการฟ้องกลับแต่หากผลเป็นลบเราก็พร้อมจะ ยื่นอุทธรณ์สู้ต่อไป

-----------
หลังจากศาลจังหวัดมุกดาหารได้มีการประกาศออกมาว่าในวันนี้จะมีการเลื่อนอ่านคำพิพากษาในคดีของน้องชมพู่ ไปช่วงปลายเดือนธันวาคม เนื่องจากขณะนี้กระบวนการตรวจร่างคำพิพากษาของสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 ยังไม่แล้วเสร็จ


โดยประเด็นนี้ทางด้านนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่น้องชมพู่ ได้เปิดเผยกับทีมข่าวว่า แม้ศาลจะมีการเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไป โดยส่วนตัวไม่ได้มีความกังวลใจ เพราะมองว่า “เป็นเพียงการเลื่อนอ่านคำพิพากษาเท่านั้นไม่ใช่การยกฟ้อง”


การรอคอยคดีนี้ มาเป็นเวลานาน ก็ทนรอมาได้ ซึ่งคดีของน้องชมพู่เองก็มีการต่อสู้คดีมานานกว่า 3 ปี 5 เดือน กว่าจะรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับ ก็ใช้เวลาเป็นปี นอกจากนี้ยังมีการสืบพยานในชั้นศาลนานเป็นปีอีกเช่นกัน


ดังนั้น การเลื่อนออกไปจึงไม่ได้รู้สึกกังวลใจ หรือเป็นห่วงอะไร และอยากบอกผ่านสื่อไปถึงเอฟซี และผู้ที่สนับสนุนทุกคนที่อาจจะเข้าใจผิด การที่ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไปนั้นจะทำให้น้องชมพู่ไม่ได้รับความเป็นธรรม อยากให้เข้าใจว่าที่เกิดขึ้นเป็นกระบวนการยุติธรรมของศาล ที่จะต้องมีความละเอียดรอบ เพราะคดีของน้องเป็นคดีที่สังคมต่างให้ความสนใจ

-----------
คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘ลุงพล’ หรือ นายไชย์พล วิภา ผู้ที่โด่งดังจาก คดีของน้องชมพู่ จากผู้ต้องสงสัยกลายเป็นเซเลปของประเทศ มีผลงานในวงการบันเทิงมากมาย


หลังเกิดคดี ‘น้องชมพู่’ ดับปริศนา ในปี 2563 ด้วยความสนใจของคนทั้งประเทศก็ทำให้ ‘ลุงพล’ กลายเป็นที่รู้จัก เพราะมีทั้งยูทูบเบอร์และสื่อมวลชนเข้าไปติดตามคดีอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นการใช้ชีวิตและรับรู้เรื่องราวด้านอื่น ๆ ก็ทำให้มีทั้งคนที่ชื่นชอบและคนที่ปักใจว่า ลุงพล คือคนร้าย


เมื่อได้รับแสงเยอะขึ้น ลุงพล จึงได้เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง โดยเริ่มจากการเป็นพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้งเดี่ยว ทั้งคู่กับภรรยา ‘ป้าแต๋น’ จากแบรนด์เล็ก ๆ ค่าตัวไม่เท่าไหร่ จนมีข่าวใหญ่โตว่าได้รับพรีเซนเตอร์ค่าตัวหลักล้าน


ได้เล่น MV ของนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง จินตหรา พูนลาภ ในเพลง สาวกกกอก หรือการกระทั่งมีคนแต่งเพลงถึง โด่งดังไปทั้งประเทศ คือเพลง อยากเป็นป้าแต๋น แฟนลุงพล ที่ ยิ่งยง เป็นคนแต่งให้


และในช่วงขาขึ้นนักปั้นชื่อดัง อุ๊บ วิริยะ ก็เคยเล็งจะพาเข้าวงการบันเทิง สร้างภาพยนตร์จากเรื่องราวคดีของน้องชมพู่หมู่บ้านกกกอก


ต้องบอกเลยว่า ลุงพล – ป้าแต๋น รับงานกันแบบรัว ๆ ทั้งพรีเซนเตอร์ อีเวนต์ ออกรายการช่องต่าง ๆ กันเป็นปี ๆ จากปี 63 สู่ปี 64


กระทั่ง ในช่วงกันยายน 2564 อัยการก็สั่งฟ้องลุงพล ทำให้ชื่อของทั้งคู่เงียบหายไปจากเดิม เวลาผ่านไปเรื่องคดีความดำเนินมาถึงปัจจุบัน ก็ใกล้ได้บทสรุปกันแล้ว ว่าคดีน้องชมพู่จะจบลงอย่างไร

-----------


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/7GED2clUGbo






แท็กที่เกี่ยวข้อง  ป้าแต๋น ,คดีน้องชมพู่ ,ลุงพล

คุณอาจสนใจ

Related News