เลือกตั้งและการเมือง

ก้าวไกล เคลื่อนไหวปม "ช่อ" ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ตอกย้ำปัญหารธน.ปี 60

โดย nutda_t

21 ก.ย. 2566

640 views

พรรคก้าวไกล โพสต์แสดงความเห็นกรณีศาลฎีกา ตัดสิทธิ์ทางการเมือง น.ส.พรรณิการ์ วานิช ตลอดชีวิต โดยระบุว่า กรณีตัดสิทธินักการเมือง - อิทธิฤทธิ์ของกลไก “มาตรฐานทางจริยธรรม” ในรัฐธรรมนูญ 2560 และความจำเป็นในการปฏิรูปองค์กรอิสระ

เมื่อวาน ศาลฎีกามีคำพิพากษาถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง รวมถึงสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิตของคุณพรรณิการ์ วานิช ด้วยฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามกฎหมาย จากโพสต์ในโซเชียลมีเดียเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ก่อนคุณพรรณิการ์ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร

รายละเอียดเนื้อหาสาระของคำพิพากษาต่อกรณีนี้ มีหลายส่วนถูกตั้งคำถามโดยสังคม ไม่ว่าจะเป็นข้อสังเกตเรื่องห้วงเวลาของการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนการรับตำแหน่งทางการเมือง คำถามเรื่องการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกที่ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย หรือการที่การกระทำเดียวกันของคุณพรรณิการ์ เคยถูกฟ้องในฐานความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) แต่ศาลอาญามีคำสั่งยกฟ้อง ยิ่งสะท้อนให้เห็น ‘ความผิดปกติ’ ของการพิจารณาที่อาจถูกตั้งคำถามได้ว่า ได้ให้ความเป็นธรรมแก่คุณพรรณิการ์อย่างเพียงพอหรือไม่

ในภาพใหญ่ เหตุการณ์ของคุณพรรณิการ์ เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ตอกย้ำถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ได้ขยายอำนาจขององค์กรอิสระซึ่งมีที่มาที่ขาดความยึดโยงกับประชาชน แต่เปิดช่องให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง โดยเฉพาะการทำลายอนาคตทางการเมืองของผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผ่านกลไกไม้บรรทัดที่ชื่อ “มาตรฐานทางจริยธรรม” ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกใช้เป็นเหตุในการตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตมาแล้วอย่างน้อย 4 กรณี ที่เป็นที่รับรู้วงกว้าง คือ ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี (พิพากษาเมื่อ 7 เมษายน 2565) อนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ อดีต สส.มุกดาหาร (พิพากษาเมื่อ 6 มกราคม 2566) กนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ (พิพากษาเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2566) และ ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ อดีต สส.กรุงเทพฯ (พิพากษาเมื่อ 3 สิงหาคม 2566)

“มาตรฐานทางจริยธรรม” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 219 เป็นมาตรฐานที่ถูกกำหนดร่วมกันโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ แต่ถูกบังคับใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมด รวมถึงสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี โดยรัฐธรรมนูญมาตรา 235 กำหนดให้ ป.ป.ช. มีอำนาจในการไต่สวนข้อเท็จจริงในข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้อง และเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในกรณีที่เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

กลไกนี้มีหลักการที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานประชาธิปไตยสากล เพราะนอกจากเป็นการวางกลไกที่ “ผิดฝาผิดตัว” ในการให้อำนาจองค์กรหนึ่งมากำหนดมาตรฐานจริยธรรมหรือพิพากษาเรื่องจริยธรรมขององค์กรอื่น แต่ยังเป็นการเปิดช่องให้องค์กรตุลาการใช้อำนาจในการ “ประหารชีวิต” นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ด้วยข้ออ้างเรื่อง “จริยธรรม” ที่สามารถถูกเขียนไว้อย่างกว้างและสามารถถูกตีความได้ตามดุลพินิจของตนเอง

เหตุการณ์นี้จึงยิ่งตอกย้ำความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พรรคก้าวไกลหวังว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยการปฏิรูปอำนาจและที่มาขององค์กรอิสระเป็นวาระที่ขาดหายไม่ได้ ซึ่งจำเป็นต้องรวมถึง

(1) การวางขอบเขตอำนาจให้สมเหตุสมผลและไม่เปิดช่องให้ถูกใช้ในการขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชน

(2) การปรับกระบวนการสรรหา-รับรองผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระให้ยึดโยงกับประชาชนและไม่ถูกผูกขาดไว้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทางการเมือง

(3) การสร้างกลไกในการตรวจสอบและกลไกรับผิดรับชอบขององค์กรอิสระ

ดังนั้น ไม่ว่าอาวุธเรื่อง “มาตรฐานจริยธรรม” ตามกลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 จะถูกใช้กับนักการเมืองคนใดหรือจากพรรคการเมืองใด และไม่ว่าพฤติกรรมของนักการเมืองคนนั้น จะเป็นสิ่งที่ท่านเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ทันทีที่สังคมไทยยอมรับให้การใช้อาวุธนี้กลายเป็นเรื่องปกติ นั่นเท่ากับเรายอมรับให้มีการทำลายล้างกันทางการเมืองอย่างไม่ชอบธรรม จนสุดท้าย “มาตรฐานจริยธรรม” อันเลื่อนลอย-ไร้มาตรฐานนี้ เป็นอาวุธหวนกลับมาบ่อนทำลายหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย

#ช่อพรรณิการ์"



คุณอาจสนใจ

Related News