เลือกตั้งและการเมือง

'พิธา' ฝาก 'เศรษฐา' รักษาสัจจะ ย้ำต้องทำตามนโยบายหาเสียง ดักทางจะอ้างคำว่าพรรคร่วมไม่ได้

โดย passamon_a

3 ก.ย. 2566

791 views

เมื่อวันที่ 2 ก.ย.66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึง คณะรัฐมนตรีภายหลังได้รับการโปรดเกล้าฯแล้ว ว่า คงตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ซึ่งคงจะเป็นหลัก ตนคงไม่ได้ดูเป็นบุคคลสักเท่าไหร่ แต่ดูวิธีในการเข้าสู่อำนาจ ดูเรื่องปัญหาเกี่ยวกับศรัทธาของพี่น้องประชาชนในการเตรียมมาเป็น ครม. ในการแก้ปัญหา


"สิ่งที่อยากฝากไว้ก็อยากจะให้รักษาสัจจะตามที่หาเสียงกับพี่น้องประชาชนไว้ เพราะหลายนโยบาย เขาตั้งใจที่จะทำให้เกิดขึ้นจริง ๆ ถ้าการแถลงนโยบายประมาณวันที่ 8-9 ก.ย.นี้ ก็คงจะเห็นว่าหลายเรื่องที่เคยหาเสียงไว้ และที่มีดิจิทัลฟรุตปริ้นท์ เสนอนโยบายอย่างไรบ้างก็ต้องทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ เพราะไม่อย่างนั้น วิกฤตศรัทธาจะเกิดขึ้น ศรัทธาเกี่ยวกับการเมือง ศรัทธาเกี่ยวกับรัฐสภา ศรัทธาเกี่ยวกับการทำงานการเมืองของพี่น้องประชาชน ที่คิดว่าจะไปเลือกทำไม จะมีดีเบตกันไปทำไม เพราะไม่รู้ว่าที่พูดไปไม่เกิดขึ้นจริง ตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญ ความรับผิดชอบในคำพูด"


นายพิธา กล่าวต่อว่า ส่วนฝ่ายค้าน ก็จะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ที่มีการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา เข้มข้น ในขณะเดียวกันก็จะยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งแน่นอน


เมื่อถามว่าในฐานะฝ่ายค้านจะให้ฝ่ายรัฐบาลทำงานกี่เดือนถึงจะรุกแบบเข้มข้น นายพิธา กล่าวว่า ขณะนี้ช้ามาตั้ง 3 เดือน ตั้งแต่การเลือกตั้ง 14 พ.ค. อย่างที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคยพูดไว้ว่าไม่มีเวลาฮันนีมูนกัน ต้องรีบทำงานอย่างเต็มที่ นอกจากนี้สัญญาประชาคมที่แต่ละพรรคการเมืองทำร่วมกันไว้แล้ว ไม่น่าจะเป็นข้ออ้างได้ว่าเป็นพรรคร่วมแล้วทำไม่ได้


นายพิธา เปรียบเทียบอย่างตอนที่พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล เราเอา MOU มาเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เลือกพรรคแต่เลือกภารกิจ ดังนั้นน่าจะคุยกันได้แล้วว่าจะทำอะไรไม่ทำอะไร ไม่อย่างนั้น จะใช้เป็นข้ออ้างในทุกครั้งไปว่าพรรคร่วมทำไม่ได้


"แน่นอนว่าการพูดคุยกันอย่างมีวุฒิภาวะ ผมเข้าใจ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจร่วมรัฐบาลกัน ก็ต้องดูก่อนว่านโยบายจะอย่างไร ขอให้เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เอาสัจจะเป็นที่ตั้ง ถ้าเอา 2 อย่าง เป็นที่ตั้งผมคิดว่ารัฐบาลจะทำงานได้อย่างดี ขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลรักษาสัจจะให้ได้ เอาประชาชนที่ตั้ง"


เมื่อถามว่าจะมีการนัดพูดคุยกันในพรรคฝ่ายค้านกับพรรคประชาธิปัตย์และแบ่งงานอย่างไร หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนทำงานนอกสภาเป็นส่วนใหญ่ ก็ให้คำปรึกษากับเพื่อน สส. ทั้งเรื่องการอภิปราย การทำงาน หรืองบประมาณที่จะเข้า ทั้งนี้สมัยนี้พรรคก้าวไกลได้ สส. มากขึ้น ก็จะได้สัดส่วนกรรมาธิการที่เยอะขึ้น ตนก็จะทำงานแบบนี้จนกว่าที่จะได้รับสิทธิ์คืนมา ประชาชนคอยอยู่ก็จะแก้ไขปัญหาตรงนี้ให้ได้และกลับไปทำงานโดยเร็ว เพื่อจะเข้าไปสู่สภาอีกครั้ง


เมื่อถามว่าตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านจะมีการวางเป้าหมายไว้อย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 ระบุว่าต้องเป็นหัวหน้าพรรคเสียงที่มีมากที่สุดของฝ่ายค้าน แต่ปัญหาคือตนสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ เพราะฉะนั้น ก็เป็นปัญหาที่ไม่สามารถรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านได้ ส่วนตัวก็ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นมติพรรคหรือเป็นไปตามรัฐธรรมนูญบังคับให้จะต้องรับ ก็อาจจะต้องรออีกทีหนึ่ง ดังนั้น จึงยังไม่รีบตัดสินใจ เพราะยังมีเวลาอีกหลายเดือน กว่าที่ตนจะได้กลับไป ส่วนพรรคอื่นก็ขอไม่พาดพิง แต่เท่าที่ติดตาม ก็น่าจะติดเงื่อนไขว่าหัวหน้าพรรคแต่ละพรรคเป็น สส. ในสภาหรือไม่ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องของพรรรคอื่น


"ถ้าอ่านตามรัฐธรรมนูญ ผมก็ว่าชัดเจนว่าต้องเป็นพรรคที่มี สส. อันดับหนึ่ง และหัวหน้าพรรคต้องเป็น สส. ซึ่งถ้าผมไม่ได้เป็นอยู่ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไหลไปที่พรรคอื่น เท่าที่อ่าน และหากอ่านวรรคสุดท้ายก็จะเห็นว่าตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านจะสิ้นสุดลงเมื่อเงื่อนไขในพารากราฟแรกเปลี่ยนไป หมายความว่าหากผมกลับไป มันก็ต้องไหลมาที่ผมที่เป็นพรรคอันดับหนึ่งตามรัฐธรรมนูญ"


ดังนั้น ส่วนตัวก็คิดว่ายังตั้งใจทำงานเป็น สส.คนหนึ่ง ก็ยังทำงานได้ ไม่ได้ยึดติดกับส่วนตัว แต่ถ้าเป็นเรื่องของกฎหมาย หรือเป็นมติของเพื่อน สส. และของพรรคมา ตนก็ต้องเคารพ และตอนนี้ก็ยังมีเวลาตัดสินใจอีกนาน


ทั้งนี้ ก็อยากให้ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ตั้งใจทำงานในตำแหน่งรองประธานสภาฯ ในช่วงเวลาที่ตนยังไม่ได้กลับเข้าไป อาจจะ 4-6 เดือน ซึ่งตนคิดว่ายังมีเวลาพอที่จะให้ นายปดิพัทธ์ ได้ทำหน้าที่รองประธานสภา อย่างที่เขาหวังไว้ พร้อมย้ำว่า ยังมีเวลาอยู่และยังรอได้


https://youtu.be/BiMBHvPje2U

คุณอาจสนใจ

Related News