อาชญากรรม

แม่ค้าหมูปิ้ง เก็บเงินมาทั้งชีวิตซื้อบ้านใหม่ อยู่ๆแตกร้าวทั้งหลัง จนอยู่ไม่ได้

โดย attayuth_b

25 มี.ค. 2566

996 views

วันนี้ (25 มี.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น. ผู้สื่อข่าวได้รับขอความช่วยเหลือจาก น.ส.เกษร ไชยสุวรรณ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57/38 หมู่ที่ 8 ต.นาเกลือ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ว่าครอบครัวตนได้ซื้อบ้านเป็นทาวน์เฮ้าส์ขนาด 2 ชั้นอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านพระสมุทรเจดีย์เมื่อช่วงปี 2552 ซึ่งเป็นบ้านสร้างใหม่ กระทั่งทุกวันนี้ไม่สามารถเข้าพักอาศัยได้เนื่องจากบ้านเริ่มแตกร้าวทั้งหลังบางส่วนได้พังลงมากองกับพื้นเคยไปแจ้งนิติบุคคลแล้วแต่กลับเรื่องเงียบ ร้องเรียนไปยังองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่แล้ว ร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และเจ้าความลงบันทึกประจำวันที่สถานนีตำรวจแต่ไม่มีความคืบหน้า ทางสื่อสื่อข่าวจึงลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านแบบทาวน์เฮ้าส์ขนาด 2 ชั้นปลูกติดกันหลายหลังบริเวณบ้านเลขที่ 57/38 พบ น.ส.เกษร ไชยสุวรรณ อายุ 47 ปีเจ้าของบ้าน พาผู้สื่อข่าวเข้าไปดูสภาพบ้านพบว่าบริเวณข้างฝาบ้านซื้อเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กมีรอยแตกร้าวเป็นแนวยาวหลายจุดจนเห็นเหล็กเส้นโผ่ จนสามารถนำมือสอดเข้าไปได้ทั้งมือ กระเบื้องปูพื้นมีรอยแตกร้าวเกือบทั่วทั้งบ้าน ประตูบ้านและชายคาหน้าบ้านเริ่มทรุดเอนเอียงไปด้านหน้าถนน บริเวณด้านหลังบ้านซึ่งห้องครัวพบฝาผนังมีรอยแตกจนแยกออกจากตัวบ้านกว้างประมาณ 20 เซนติเมตรเป็นทางยาว โครงหลังคาครัวบิดเบี้ยวมีเศษกระเบื้องมุงหลังคาหล่นแตกเกลื่อนพื้น บริเวณพื้นครัวมีรอยแตกแยกจากตัวบ้านจนกระเบื้องปูพื้นมีรอยแตกร้าวเกือบทั้งหมด หลังจากนั้นเจ้าของบ้านได้พาขึ้นไปดูบริเวณชั้นที่ 2 ของตัวบ้านพบกำแพงห้องนอนทั้ง 2 ห้องมีรอยแตกร้าวเกือบทั้งหมดห้องน้ำชั้น 2 ของบ้านมีรอยร้าวกว้างกว่า 10 เซนติเมตร บนพื้นห้องพบเศษปูนและเศษกระเบื้องหล่นเกลื่อน

จากการสอบถาม พบ น.ส.เกษร เจ้าของบ้านเล่าว่าตนมีอาชีพขายหมูปิ้งและข้าวเหนียวอยู่หน้าบ้านส่วนสามีเป็นคนงานอยู่ในร้านขายผ้าใบย่านเจริญนครโดยบ้านหลังดังกล่าวพักอยู่รวมกัน 4 คนพ่อแม่และลูกหญิง-ชาย โดยเมื่อก่อนนี้ตนและครอบครัวได้เช่าบ้านอยู่แถวเจริญนครเขตกรุงเทพฯได้ทำงานและขายของจนเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งมาซื้อรถยนต์กระบะจนผ่อนหมดไปได้ 2-3 ปี กระทั่งสามีมีความคิดว่าเมื่อครอบครัวมีรถแล้วน่าจะซื้อบ้านไว้เป็นของตัวเองเผื่อบั้นปลายชีวิตจะได้ไม่ต้องเช่าเขาอยู่และหนี้สินไม่มี จึงได้ออกตะเวณหาซื้อบ้านกระทั่งมาพบโบชัวของหมู่บ้านแห่งนี้และตกลงกันว่าจะซื้อบ้านที่นี่โดยทางหมู่บ้านได้ตั้งราคาขายไว้ที่ 1 ล้าน 5 หมื่นบาท ซึ่งในขณะนั้นตนและครอบครัวมีเงินเก็บอยู่เพียง 150,000 บาท จึงได้ทำเรื่องกู้ธนาคารมาจำนวน 1 ล้านบาทพร้อมส่งเดือนละ 7,000 บาท โดยได้ทำสัญญาและซื้อบ้านเมื่อปี 2552 ก่อนที่จะเก็บข้าวของเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว กระทั่งเมื่อช่วงกลางปี 2565 บ้านเริ่มมีการทรุดตัวและมีรอยแตกร้าวตามกำแพงบ้านและห้องครัวตนเองคิดว่าน่าจะเกิดจากสถานการณ์น้ำท่วมเมื่อไป 2554 ที่ผ่านคงไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก เมื่ออยู่นาวันเข้าบ้านเริ่มมีรอยแตกร้าวเพิ่มมากขึ้นจนเป็นทั่วบ้านทั้งชั้นล่างและชั้นบน บ้างวันนั่งรับประทานอาหารอยู่ชั้นล่างมีเศษปูนหล่นร่วงลงมากลางวงข้าว สามีเห็นทางไม่ดีจึงได้ไปติดต่อทางนิติบุคคลแต่ได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยน่าฟังเท่าที่ควรว่าบ้านหมดประกันไปนานแล้วไม่สามารถเข้าไปดูแลหรือซ่อมแซมให้ได้ ตนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้ไปปรึกษากับคนที่มีความรู้ว่าให้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ใกล้บ้าน ก่อนเดินทางไปติดต่อที่องค์การบริหารส่วนตำบลที่รับผิดชอบ แต่เมื่อไปติดต่อแล้วมีเพียงเจ้าหน้าที่ช่างโยธาได้เข้ามาดูพร้อมถ่ายรูปและวัดส่วนที่เสียหายและเงียบหายไป

หลังจากนั้นเมื่อช่วงวันที่ 17 ม.ค.66 ที่ผ่านมาตนได้เดินทางเข้าไปร้องเรียนที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ไว้แล้วซึ่งขั้นอยู่ระหว่างประนอมข้อพิพาทอยู่ ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ตนและครอบครัวต้องออกไปเช่าบ้านคนอื่นอยู่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านเดือนละ 3,500 บาทไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ เนื่องจากบ้านตัวเองอยู่ไม่ได้มีเพียงไว้ใช้เก็บของเท่านั้นถ้ายังพักอาศัยอยู่ตนก็ไม่รู้ว่าบ้านจะพังถล่มลงมาทับตอนไหน จึงอยากฝากผู้สื่อข่าวหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบเข้าช่วยเหลือและแก้ไขด้วยเพราะตนมีบ้านแล้วแต่กลับไม่ได้พักอาศัยอีกทั้งทุวันนี้ยังต้องผ่อนบ้านกับธนาคารอยู่เลยโดยทุกวันนี้ตนเครียดจนกินไม่ได้และนอนไม่ค่อยหลับเพราะเป็นห่วงบ้าน

คุณอาจสนใจ