เปิดเส้นทางเข้าเป็น ตร.ของ 'ผู้กองไบร์ท' แห่งตระกูล 4 บ. หลังพบเข้ามาด้วยกรณีพิเศษ

จากการเปิดโปง พี่น้อง 4 บ. ทำให้ชื่อของ ร.ต.อ.คุณากร หรือ รองสารวัตรไบร์ท ซึ่งเป็นน้องคนสุดท้อง ในจำนวนพี่น้อง 4 คน ถูกเอ่ยถึงเพราะมีที่มาว่ารับราชการเป็นตำรวจ วันนี้ทีมข่าว 3 มิติจะย้อนไปดูเส้นทางการเข้ามาเป็นตำรวจของ ร.ต.อ.คุณากร พบข้อมูลเบื้องต้นว่า ไม่ได้จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่เข้ามาเป็นตำรวจในกรณีพิเศษ โดยผ่านหลักสูตรการอบรม ซึ่งอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นว่าน่าจะมีการตั้งกฎเกณฑ์ว่า จะต้องผ่านการสอบทุกคน ห้ามรับโดยไม่มีการสอบ



ชื่อของ ร.ต.อ.คุณากร ขจรบุญถาวร หรือ รอง สว.ไบร์ท ถูกพูดถึงในแวดวงข้าราชการตำรวจ และสังคมมานานหลายวันติดต่อกัน ว่าเข้ามาเป็นข้าราชการตำรวจ โดยไม่ได้จบโรงเรียนนายร้อย แต่ได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง จนเป็นรอง สว.



จากประวัติพบว่า ร.ต.อ.คุณากร จบหลักสูตร อบรมการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจและบุคคลที่บรรจุ หรือโอนมาเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร หรือ กอส.รุ่นที่ 40 ระหว่างในเดือน มี.ค.59 หลังจบการอบรม ติดยศ ร.ต.ต. ตำแหน่งรองสว.กลุ่มงานพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน

ปี 2561 เป็นร.ต.ท. ย้ายไปเป็น ผู้ช่วย นว.(สบ.1) ผบช.ภ.7

ปี 2562 ผู้ช่วย นว. (สบ.1) ผบช. สำนักงานกำลังพล

ปี2563 ได้เลื่อนขึ้นเป็นรอง สว.ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน



กระทั่ง ม.ค.ปี ที่แล้ว ย้ายมาเป็น รอง สว.ฝ่าย ตม.ขาออก ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ บก.ตม.2 นับเป็นหน่วยงานเกรดเอ ที่มีตำรวจต้องการอยู่มากหน่วยหนึ่ง แต่หน้าที่ ตม.ขาออก ซึ่งเป็นงานที่มีงานล้นมือ จนเคยมีข่าวว่าบุคคลากรไม่เพียงพอต่องาน แต่มีรายงานว่า รองสว.ไม่เคยไปปฏิบัติหน้าที่ ตม.ขาออก



กระทั่ง ปลายปีที่ผ่านมา รอง สว.ไบร์ท ได้เข้ามาประจำสำนักงาน ผบช.สตม. โดย ผู้บัญชาการ สตม.ยื่นยันว่า มีความรู้ความสามารถ และวันที่ 8 กพ.2566 ร.ต.อ.คุณากร ได้ ยื่นใบลาออก การเข้ารับราชการตำรวจ โดยไม่ผ่านการสอบ แต่ผ่านการอบรมหลักสูตร กอส.ได้ถูกพูดถึง เป็นวงกว้าง เพราะกำลังทำให้ตำรวจที่ตั้งใจทำงาน ปฏิบัติหน้าที่ ต้องเสียกำลังใจ เนื่องจากเริ่มมีการออกมาระบุว่า มีตำรวจ ที่มีธุรกิจสีเทา เข้ามาแอบแฝงอยู่ในองค์กร จนสร้างวิกฤติศรัทธาในองค์กร



พล.ต.อ.ชัยยง กีรติขจร อดีต รองผบ.ตร. เห็นว่าหลักสูตร กอส. มีส่วนดี ที่รับคัดเลือกในตำแหน่งที่ขาดแคลน หรือรับทายาทของตำรวจที่เสียชีวิตเข้าเป็นตำรวจ



แต่ยังมีข้อหนึ่งที่เปิดช่องให้รับในกรณีพิเศษ ตามที่ผบ. ตร.เห็นสมควร ซึ่งตำรวจที่รับมากรณีพิเศษนี้ มักจะชื่ออยู่ในตำแหน่ง แต่ตัวมักไม่มาทำงาน ทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรเป็นอย่างมาก จึงเห็นว่า การรับมาเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตรกรณีพิเศษ ต้องมีการกำหนดจำนวนให้ชัดเจน ที่สำคัญต้องมีการสอบ และต้องผ่านความเห็นชอบจาก กตร. คณะกรรมการตำรวจ ด้วย



ขณะที่มีรายงานว่าตัวเลขของ การเข้ามารับราชการแบบกรณีพิเศษ มีตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกปี จากปี 2559 มีมากกว่า 60 คน ปี 2560 -2561มีมากกว่า 250 คน ปี 2562-2563 มีมากกว่า 370 คน ปี 2564 -2565 มีกว่า 350 คน จึงเป็นที่วิพากวิจารณ์ การรับตำรวจแบบกรณีพิเศษ กลายเป็นช่องทางให้ทายาทตระกูลดัง มีฐานะ แต่อาจมีธุรกิจแอบแฝง เข้ามารับราชการ โดยไม่ได้ทำงานให้กับองค์กรแต่อย่างใด