สังคม

'ชูวิทย์' เปิดใจ หลังอัยการสั่งฟ้อง 'ตู้ห่าว' กับพวก 9 ข้อหา แฉต่อ มีขบวนการทำลายพยานหลักฐาน

โดย weerawit_c

21 ม.ค. 2566

44 views

วานนี้ (20 ม.ค.66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์  อดีตนักการเมืองไทย แถลงภายหลังอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง “ตู้ห่าว” กับพวก รวม 41 คน 9 ข้อหา



โดยนายชูวิทย์ กล่าวว่า ประเด็นที่อยากพูดถึงคือเรื่องของ “อาชญากรรมข้ามชาติ” ตนมองว่าช่วงแรกตำรวจไม่เอาข้อหานี้ แต่เป็นเพราะตนไปร้องว่าเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ จึงทำให้อัยการเข้ามามีบทบาทสำคัญแทนตำรวจ ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ค่อนข้างที่จะเหนื่อย



ขณะเดียวกันยังมีการที่พยายามจะทำลายพยานหลักฐาน รวมทั้งมีการเข้ามาโน้มน้าวพยานปากเอก ซึ่งเป็นพยานสำคัญของตน 2 คน คนแรกคือคนที่เห็นการถอนเงินออกจากบัญชี และคนที่ 2 เป็นพยานของโรงแรม ซึ่งตนไม่สามารถให้รายละเอียดมากกว่านี้ได้ เนื่องจากขณะนี้พยานทั้ง 2 คน อยู่ในการคุ้มครองของตำรวจ นอกจากนี้ยังพบพยานอีก 1 คน ถูกข่มขู่จนเกิดความกลัวและขณะนี้ไม่สามารถติดต่อได้



โดยวิธีการที่เข้ามาโน้มน้าวหรือล่อซื้อ จะเป็นในลักษณะ ของการเสนอผลประโยชน์ มาในรูปแบบของเงิน ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นจำนวจเงินเท่าไหร่ โน้มน้าวไม่ให้ไปให้การที่ศาล หากไปให้การก็ให้ปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น รวมทั้งว่าหากให้การมาแล้วขอให้ไปให้การใหม่ และถึงขั้นที่ว่าให้หายตัวไปเลย ไม่ต้องไปให้การ



โดยช่วงหนึ่งนายชูวิทย์ ได้ต่อสายไปถึงพยานบุคคลสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 400 ปาก ของคดีตู้ห่าว ซึ่งปลายสายเปิดเผยว่า ตนได้ไปให้การกับอัยการสูงสุดแล้ว รวมทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ไม่ทราบว่าในส่วนของฝ่ายจำเลยรู้ได้อย่างไรว่าตนไปให้การในคดีดังกล่าว จึงได้พยายามติดต่อมาโน้มน้าวให้ถอนตัวออกจากการเป็นพยาน มีการนำเสนอผลประโยชน์ แต่ยังไม่ถึงขั้นระบุตัวเลขชัดเจน แต่ว่าได้ปฏิเสธไปเพราะอยากทำให้ถูกต้องเพื่อชาติ ไม่อยากตกเป็นเครื่องมือของบุคคลเหล่านี้



ทั้งนี้ นายชูวิทย์ เชื่อว่าจะต้องใช้ระยะเวลากนานกว่า 2 ปี ในการสืบพยานกว่า 400 ปาก โดยขณะนี้พบว่ามีขบวนการที่จะทำลายพยานหลักฐาน ซึ่งคนที่ทำลายพยานหลักฐานเชื่อว่าเป็นคนที่ได้รับการประกันตัวไปก่อนหน้านี้ จึงเรียกร้องให้มีการถอนประกัน เนื่องจากจะต้องมีการเพิ่มข้อกล่าวหาอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งปกติการเพิ่มข้อหาจะต้องถูกถอนประกัน พร้อมกันนี้ยังยืนยันว่าไม่ได้เมคพยานปากสำคัญขึ้นมาแต่อย่างใด ทั้งนี้ เบื้องต้นทราบมาว่ามีการสืบพยานล่วงหน้าแล้ว 20 ปาก แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นพยานปากใดบ้าง



นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตว่าขบวนการนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐคอยสนับสนุนและอยู่เบื้องหลัง เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่านายตู้ห่าว เป็นตัวหลักสำคัญ แต่คงไม่สามารถทำทุกอย่างได้เพียงตัวคนเดียว



โดยนายชูวิทย์ ระบุชัดเลยว่าเจ้าหน้าที่รัฐคอยสนับสนุนประกอบด้วย สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) / จเรตำรวจ / บช.น. / ตำรวจ สน.ยานนาวา / ตำรวจ สน.สุทธิสาร / DSI / ปปง. / ป.ป.ส. รวมทั้ง องค์การปกครองที่มีการออกบัตรประจำตัวประชาชนผี ส่งผลให้บางหน่วยงานมีการเด้งหรือปลดฝ้าผ่า ซึ่งจากการที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้ ส่งผลทำให้คดีมีความบิดเบี้ยวหรือล่าช้า เนื่องจากแต่ละขั้นตอนใช้ระยะเวลานาน ทำให้พยานหรือหลักฐานเสียหายหรือเปลี่ยนแปลง เพราะจำเลยเป็นผู้มีอิทธิพลและมีเงิน จึงทำให้มีโอกาสในการต่อสู้และโน้มน้าวพยาน โดยการโน้มน้ามพยานจะถูกเสนอผลประโยชน์ในรูปแบบของเงิน เพื่อไม่ให้ไปให้การต่อศาล หากไปให้การก็ให้การปฏิเสธว่าไม่รู้และไม่เห็น ส่วนพยานที่ให้การแล้วก็ขอให้การใหม่ หรือสุดท้ายให้พยานหายตัวไป ไม่ต้องไปให้การต่อศาล



นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่าการตั้งข้อหาฟอกเงินล่าช้ากับตู้ห่าวจะทำให้มีโอกาสเคลื่อนย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกไป เพราะที่ผ่านมาทรัพย์สินของตู้ห่าวที่ตรวจพบประมาณ 8 พันล้านบาท กลับไม่มีเงินสดแม้แต่บาทเดียว มีเพียงเงินในบัญชีแค่ 1 แสนบาทเท่านั้น



นายชูวิทย์ บอกว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้คือบทสรุปของคดีตู้ห่าว นั่นหมายความว่า นับจากวันนี้ไป จะมีกระบวนการทำลายล้างพยานหลักฐาน เอกสาร อะไรที่ส่งไปมันอาจจะหล่นหายไปกลางทางได้ โดยมีคอนเนคชั่นที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เมื่อถึงจุดสิ้นสุด “ยกฟ้อง” ซึ่งประเด็นนี้ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ มองว่าเป็นไปได้



นายชูวิทย์ ยังระบุว่า ตนพร้อมเป็นพยาน หากอัยการเรียกให้เป็นพยานนั้นชั้นศาล แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบ แต่มองว่าน่าจะถูกเรียกไปเป็นพยานเพราะให้การไว้ที่อัยการแล้ว



นายชูวิทย์ ยอมรับว่าตนได้หลักฐานต่างๆเหล่านี้มาจากบุคคลในองค์กรตำรวจที่ยังโชคดีของประเทศไทยที่ยังอยากปกป้องสังคม และการที่ออกมา “แฉ” เป็นการทำเพื่อส่วนรวม ไม่ได้หวังผลอะไร และอีกประเด็นที่อยากสื่อสารคือว่า “ความล่าช้าของความยุติธรรม คือความอยุติธรรม”



เมื่อถามว่าหากในอนาคตอีก 2 ปี ข้างหน้าศาลยกฟ้องตู้ห่าว และปล่อยตัวออกมา กังวลว่าจะมีผลกระทบกับตัวเองหรือไม่ นายชูวิทย์ กล่าวว่า อย่าไปกลัว ถ้าสังคมนี้มีคนกลัว สังคมนี้จะต่อสู้ได้อย่างไร ซึ่งตนก็จะเข้าไปฟังการพิจารณาคดีทุกนัดของศาลอีกด้วย



พร้อมทิ้งท้ายว่า ความยุติธรรมไม่ได้ออกมาจากปากสุนัขฉันใด ฉันนั้น ความยุติธรรมก็เปรียบเสมือนการต่อสู้ เมื่อมีการต่อสู้เราถึงจะชนะ โดยเปรียบว่า งาช้างไม่ได้ออกมาจากปากสุนัขฉันใด ความยุติธรรมถ้าไม่ต่อสู้ก็ไม่มีทางชนะ เพราะฉะนั้น ตนยินดีต่อสู้ไปจนวันสุดท้ายเพื่อให้สังคมเห็นว่า การต่อสู้ของภาคประชาชนไม่ได้มีเบื้องหลัง ไม่ได้มีผลประโยชน์ การต่อสู้ของเราจะเป็นผลงานชิ้นเอกที่ได้ประดับไว้



นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังกล่าวถึงการทำงานของ ตม. โยยกตัวอย่างคดีของนายแดริล ยัง ผู้ต้องหาคดี Forex-3D ว่า ตม. มีหมายจับนายแดริล ยัง ผู้ต้องหาคดี Forex-3D อยู่แล้ว แต่ว่านานแดริล ยัง ยังคงสามารถบินเข้าออกประเทศไทย-สิงคโปร์ ได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีการ์ดต่างงานประกาศออกมา ถึงจะมีการเคลื่อนไหวจากทาง ตม. แสดงให้เห็นว่าความผิดพลาดของตม. ทำให้ประเทศไทยเป็นแดนสวรรค์ของอาชญากรรมและอาชญากรข้ามชาติ โดยจะพบได้มากที่พัทยาและภูเก็ต



ขณะเดียวกันวานนี้ (20 ม.ค.66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล มีการเรียกสอบ ตม. นายชูวิทย์ ย้ำว่า อยากให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทะลาย รัง ตม. ยกเครื่องคงไม่พอ ให้เปลี่ยนเครื่องไปเลน จัดการล้างบาง ตม. ให้ที



ส่วนประเด็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ร่วมขบวนการตบทรัพย์ทุนจีนสีเทา ขณะเข้าตรวจค้นอดีตบ้านพักกงสุลใหญ่นาอูรู ประจำประเทศไทย ย่านสาทร ซึ่งตำรวจ 191 DSI ทหาร และล่าม รวม 16 คน นายชูวิทย์ให้ข้อมูลว่าต้นเรื่องนี้เกิดจากเจ้าหน้าที่ DSI ไม่ใช่ตำรวจ 191 เนื่องจาก DSI ยังไม่สามารถตั้งเลขคดีได้ เพราะการตั้งเลขคดีจะต้องผ่านคณะกรรมการและต้องให้อธิบดีรับรอง  แต่กรณีนี้เจ้าหน้าเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี  จึงได้ประสานกองบัญชาการตำรวจนครบาลออกหมายจับและเข้าไปตรวจค้นร่วมกัน



นายชูวิทย์ ยังกล่าวว่า จากข้อมูลที่มีอยู่ส่วนตัวมองว่าอธิบดี DSI ไม่รู้เรื่องในประเด็นการเรียกรับผลประโยชน์ และเชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีชื่อย่อตัว "ท" ซึ่งอยู่ในระดับบริหารของ DSI  ส่วนประเด็นที่เงินของกลางที่หายไป 9.5 ล้าน ประเด็นนี้ตนไม่รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/tszMip0xfEY

คุณอาจสนใจ

Related News