เครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน แจ้ง จนท.ตรวจสอบพิรุธการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าสงวนฯ กว่า 1 หมื่นไร่

เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน แจ้งความให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพิรุธการใช้ประโยชน์ที่ดินหลายแปลง รวมกว่า 1 หมื่นไร่ ในเขตอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี โดยระบุว่าพบความเคลื่อนไหวว่าจะมีทุนจากประเทศจีน มาเช่าที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อทำโซลาร์เซลล์ รวมถึงพบผู้ที่อาจไม่มีคุณสมบัติเป็นเกษตรกรแต่ได้ครอบครองเอกสาร สปก. 4-01 ซึ่งวันนี้มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ลงพื้นที่ร่วมตรวจสอบด้วย

แปลงที่ดินรวม 11,564 ไร่ อยู่ในเขตรอยต่ออำเภอปากท่อ และอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี คือแปลงที่นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่น พร้อมเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบวันนี้ โดยนายวีระระบุว่าที่ดินกว่า 1 หมื่นไร่แปลงนี้ บริษัทเอกชนโดยวิริยะเกษตรอุตสาหกรรมเช่าปลูกยูคาลิปตัส ซึ่งสัญญาเช่าครบกำหนดตั้งแต่ปี 2545 และ 2546

ซึ่งที่ดินกลับไปอยู่ในการดูแลของกรมป่าไม้ จนขณะนี้ราว 20 ปีแล้ว นายวีระ อ้างอิงข้อมูลว่า เอกชนรายเดิมพยายามเข้ามาทำประโยชน์ รวมถึงมีข้อมูลว่ามีกลุ่มทุนที่จะทำโซลาร์เซลล์มาเช่าที่ดินแปลงนี้ทั้ง 1 หมื่นไร่ ซึ่งนายวีระตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดไม่จัดสรรให้ราษฎร แต่กลับจะมีนายทุนมาขอทำประโยชน์แทน

ผู้อำนวยการศูนย์ป่าไม้ราชบุรี ยอมรับว่ามีคนมาติดต่อเพื่อขอดูพื้นที่จะทำโซลาร์เซลล์จริง และมีกิจการอื่นมาดูพื้นที่หลังจากมีมติ ครม.ใหม่ล่าสุดเมื่อต้นเดือนตุลาคม เพื่อเปิดช่องให้เช่าในกิจการอื่น ที่ไม่ใช่เจาะจงเฉพาะการปลูกป่าอย่างเดียว แต่นายพัฒนะ ก็ยืนยันสถานการณ์ล่าสุดว่า เนื้อที่ทั้ง 1 หมื่นไร่ ซึ่งเคยให้เอกชนเช่า 5 พันไร่ และที่ประกาศเขตสปก.แต่อยู่ในการดูแลของป่าสงวนอีก 5 พันไร่ รวม 11,564 ไร่นั้น จะให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เข้าปลูกป่าทั้งหมด

จากข้อเท็จริงนี้เท่ากับว่ามีโอกาสที่เนื้อที่กว่า 1 หมื่นไร่ จะกลายเป็นที่ปลูกป่าโดยออป. แต่ระหว่างตรวจสอบวันนี้ กลับพบแปลงอื่น ๆ ในอาณาบริเวณเดียวกัน ที่มีทำกิน และข้อมูลของเจ้าหน้าที่ 2 ฝ่าย ยังไม่ชัดเจนว่าอยู่ในแปลงให้เช่าหรือเป็นสปก. กันแน่ ขณะที่สปก. ระบุว่าแม้อยู่พื้นที่ประกาศเขตปฏิรูป แต่ยังไม่ได้ออกเอกสารสปก. 4-01 ให้ จึงต้องแจ้งดำเนินคดี

การตรวจสอบของนายวีระ ส่วนหนึ่งมาจากมีผู้ร้องเรียนว่า มีผู้อ้างสิทธิครอบครองที่ดินบริเวณนี้ แล้วนำไปขายให้บุคคลอื่น เมื่อมีการจ่ายเงินแล้วจะเข้าไปทำกินก็ถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดี และทำให้พิรุธอื่นๆ ถูกเปิดเผยมากขึ้น รวมถึงพบว่ามีหลายแปลงที่แจกเอกสารสิทธิ์ สปก. 4-01 ไปแล้วแต่ผู้ครอบครองกลับไม่ใช่เกษตรกรตัวจริง