อาชญากรรม

'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก' บุกตรวจผับ 42 จุด โยงนายทุนจีน อายัดทรัพย์อื้อ - 'ชูวิทย์' สาวไส้ 5 กลุ่มมาเฟียจีน

โดย petchpawee_k

2 พ.ย. 2565

94 views

‘บิ๊กต่อ -บิ๊กโจ๊ก’ สองรอง ผบ.ตร. แถลงผลตรวจสถานบันเทิง- บ้านพัก 42 จุด 7 จังหวัด รวบตัวผู้บริหารร้าน Baby Face ยึดรถหรู 3 คันมูลค่า ร้อยล้าน พบเชื่อมโยงนายทุนจีนเปิดผับชลบุรี - พัวพันพนันออนไลน์ ด้านชูวิทย์ร่วมสังเกตการณ์ในฐานะผู้ชี้เป้า พอใจตำรวจทำงานรวดเร็ว แฉเพิ่ม 5 เสือจีนเทา เป็นนายทุนรายใหญ่ ถูกรวบแล้ว 4 คน เหลือ 1 คน


เมื่อช่วงเช้าวานนี้ (1 พ.ย.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้นำกำลังชุดปฏิบัติการพร้อมกองพิสูจน์หลักฐาน กว่า 700 นาย เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งในซอยเอกมัย 10 หรือซอยเจริญมิตร ถนนสุขุมวิท 63 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา ตามหมายค้นของศาลอาญา พบว่าภายในบ้านมีรถหรูจำนวน 3 คัน โดยอยู่ในระหว่างการตรวจสอบหลักฐานเพิ่มเติม เบื้องต้นได้รับรายงานว่า การตรวจค้นครั้งนี้เป็นการขยายผลกับกลุ่มทุนต่างชาติชาวจีนที่อาจจะมีเอี่ยวกับผับจินหลิงยานนาวา และสถานบันเทิง 6 แห่ง ย่านเอกมัย ห้วยขวาง และ อาร์ซีเอ พระราม 9 ที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านที่ชาวจีนเช่า  


ทีมข่าวพูดคุยกับชาวบ้านในระแวกใกล้เคียงบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งชาวบ้านไม่กล้าให้ข้อมูลอะไรมาก เนื่องจากกังวลในความปลอดภัย บอกแค่ว่าเป็นบ้านเช่า มีชาวต่างชาติมาเช่าอยู่ได้ 2-3 ปี ไม่ใช่คนไทยและไม่เคยเห็นหน้าคาดตา เนื่องจากเท่าที่สังเกตไม่เคยออกมาพูดคุยกับเพื่อนบ้าน ส่วนรายละเอียดว่าทำอะไรที่ไหนอย่างไรตนไม่ทราบ และขอไม่ให้ข้อมูลอะไรเพิ่ม


ต่อมาช่วงบ่าย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานปราบปราม ร่วมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวน ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการตรวจค้นสถานบันเทิง ผับ บาร์บ้าน อาคาร ที่พัก และบริษัท ของนายทุนและนอมินีชาวต่างชาติ ในช่วงดึกของคืนวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมาและช่วงเช้าวานนี้ (1 พ.ย.) จำนวน 42 จุด ทั่วประเทศ ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร 24 จุด // ชลบุรี 11 จุด // สมุทรปราการกับชุมพร จังหวัดละ 2 จุด // และขอนแก่น นนทบุรี กับสมุทรสาคร จังหวัดละ 1 จุด ภายใต้ชุดปฏิบัติการร่วมกันระหว่างตำรวจนครบาล ตำรวจภูธร ตำรวจสอบสวนกลาง และกองพิสูจน์หลักฐาน สนธิกำลังร่วมกันเกือบกว่า 1,000 นาย


ทั้งนี้ ทางตำรวจได้นำรถของกลางที่ตรวจค้นยึดมาได้จากบ้านพักย่านเอกมัยเมื่อช่วงเช้า ประกอบไปด้วย รถโรลส์-รอยซ์ สีขาว /รถลัมโบกีนี่ สีเหลือง // และรถเฟอรารี่ สีแดง ไม่ติดเลขทะเบียน รวมไปถึงทรัพย์สินอื่นๆ ที่ถูกยึดมาตรวจสอบและใช้เป็นวัตถุพยาน เช่น เหล้า บุหรี่ ไวน์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ฯลฯ มาจัดแสดง


ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงดึกของคืนวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สนธิกำลังตำรวจกว่า 200 นาย เข้าตรวจค้นสถานบันเทิง 7 จุดย่านมักกะสัน ห้วยขวาง และคลองตัน ซึ่งมีรายงานว่า เป็นสถานบันเทิงที่เปิดดำเนินการโดยนายทุนต่างชาติชาวจีนและนอมินีที่พัวพันกับยาเสพติด เบื้องต้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมายนอกจากนักท่องเที่ยว 1 คนที่พบปัสสาวะสีม่วงที่ร้านแห่งหนึ่ง


และเมื่อช่วงเวลา 10.00 น. วานนี้ (1 พ.ย.) ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งในซอยเอกมัย 10 หรือซอยเจริญมิตร ถนนสุขุมวิท 63 ซึ่งเชื่อว่าเป็นบ้านเช่าของกลุ่มนายทุนต่างชาติเช่นกัน และสามารถยึดรถหรูสามคันที่นำมาจัดแสดงข้างต้นมาตรวจสอบ เนื่องจากพบพิรุธข้อสงสัย เกี่ยวกับเอกสารการครอบครองรถซึ่งทั้ง 3 คันมีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท อีกทั้งยังสามารถตรวจยึดเอกสารสำคัญโทรศัพท์มือถืออีกหลายเครื่อง เหล้า บุหรี่ ไวน์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งทางตำรวจจะนำมาตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้งเพื่อหาความเชื่อมโยงว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายต่างชาติในประเทศไทยหรือไม่


สำหรับความคืบหน้าการดำเนินคดีผับจินหลิงนั้น ได้ดำเนินคดีกับ นักท่องเที่ยวชาวจีนที่ถูกตรวจพบสารเสพติดกว่า 104 รายกับผู้ดูแลร้านคนไทยอีก 1 ราย นอกจากนี้ยังมีการสืบทราบว่าพบเจ้าหน้าที่รัฐให้การช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ต้องหาบางรายโดยการเรียกรับผลประโยชน์เพื่อเร่งให้มีการส่งตัวผัดฟ้องต่อศาลและได้รับการประกันตัวในชั้นศาลและประสานให้มีการปล่อยรถยนต์ของกลางที่มีการยึดไว้ตรวจสอบคืนกับผู้ต้องหา โดยจะดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 ราย ประกอบไปด้วย


1. พ.ต.ท.คมไพร ทองลาด รอง.ผกก.จร.สน.ลาดพร้าว

ในข้อหาให้สินบนหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานสอบสวน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำใดอันมิชอบด้วยหน้าที่

 2. พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ พิมมา พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา

 3. ร.ต.อ.สมยศ บุญณะแก้ว พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา

ในข้อหาเรียกรับสินบน เพื่อละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือโดยทุจริต


 ซึ่งในกรณีที่การส่งฟ้องผู้ต้องหาซึ่งเป็นชาวต่างชาติ เมื่อผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวในชั้นศาลตามขั้นตอน ต้องส่งตัวผู้ต้องหาชาวต่างชาติ ให้ไปอยู่ในการควบคุมของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง แต่กรณีนี้ตำรวจทำ 3 นาย ประสานให้มีการปล่อยตัวกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยไม่ได้ส่งตัวไปให้ ตม. จึงถือว่ามีความผิด


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า บ้านพักย่านเอกมัยที่ตรวจค้นเมื่อช่วงเช้า เป็นของนายเดวิด หรือซุย ไท่ เว่ย ซึ่งเป็นผู้บริหารร้าน Baby Face โดยเข้ามาอาศัยอยู่ประเทศไทยประมาณ 10 ปีแล้ว แต่งงานกับภรรยาชาวไทย และมีลูกชาย 1 คน ส่งเรียนโรงเรียนเอกชนย่านสาทรแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยตำรวจยึดรถยนต์หรู อาวุธปืน สุรา บุหรี่ และเอกสารต่างๆ ไว้ตรวจสอบ นอกจากนี้ ยังพบว่า ในห้องพักมีร่องรอยการใช้ยาเสพติดอีกด้วย


ในทางสืบสวน พบว่านายเดวิด ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ สถานบริการที่ผิดกฎหมาย และประวัติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เบื้องต้น ทางตำรวจได้ตั้งข้อหานายเดวิด ในข้อหาช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่ายฯ ตามความผิดกฎหมายศุลกากร และความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติสรรพสามิต กรณียึดของผิดกฎหมาย ซึ่งประกอบไปด้วย รถยนต์และสุราผิดกฎหมาย


ส่วนข้อมูลการซื้อรถยนต์ของนายเดวิด พบว่า นำเงินสดจำนวนหนึ่งไปฝากให้เพื่อนคนไทยซื้อ ซึ่งในประเด็นเหล่านี้ ตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานว่า เข้าข่ายความผิดการกระทำลักษณะของกฎหมายฟอกเงินหรือไม่


ทั้งนี้ พบว่า นายเดวิดมีความเชื่อมโยงกับนายทุนจีน ที่ทำธุรกิจสถานประกอบการในพื้นที่ชลบุรี แต่ในส่วนของสถานประกอบการจินหลิง พบว่านายเดวิดไม่ใช่เจ้าของ แต่ตำรวจมีข้อมูลแล้วว่าผู้ใดเป็นเจ้าของตัวจริง ซึ่งเตรียมจะดำเนินการออกหมายจับต่อไป ซึ่งเป็นคนจีนอักษรย่อ ต.ห. ตามที่นายชูวิทย์ส่งข้อมูลมาให้


ส่วนกรณีสถานบันเทิง club one พัทยา ตอนนี้สามารถจับกุมนายนิติพัฒน์ หรือ โกเอี่ยว โชคชัยธนพร พบว่ามีพฤติกรรมเป็นนอมินีทำธุรกิจแทน ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการขยายผลว่า มีการออกเอกสารใบอนุญาตประกอบกิจการสถานบันเทิงและบัตรประชาชนจากกรมการปกครองให้กับนายนิติพัฒน์ถูกต้องหรือไม่


นอกจากนี้ตำรวจสามารถจับกุมเจ้าของ คือ นายหยู่ ฉาง เฟย ได้แล้ว ขณะเตรียมหลบหนีข้ามแม่น้ำโขงขากจังหวัดหนองคายไปยังประเทศลาว ซึ่งทางตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดมุกดาหาร ควบคุมตัวไว้สอบสวนขยายผลแล้ว


ซึ่งเบื้องต้น ต้องตรวจสอบว่า ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองแพร่ อุดรธานี และเชียงใหม่ ว่ามีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนออกวีซ่านักเรียนให้หยู่ ฉาง เฟย หรือไม่ เนื่องจากพบว่า ผู้ต้องหาขออนุญาตอยู่ในประเทศไทยในฐานะนักเรียน ซึ่งหากพบว่าตำรวจตรวจคนเข้าเมืองมีส่วนรู้เห็นหรือเอื้อผลประโยชน์ส่วนนี้จะต้องมีการดำเนินการต่อไป โดยจะเรียก ตม. ทั้ง 3 พื้นที่มาสอบข้อเท็จจริง


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวอีกว่า เมื่อช่วงเช้า ได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นที่พักของนักการเมืองที่เป็นอดีตรัฐมนตรีรายหนึ่ง แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งยืนยันว่า ตำรวจจะให้ความเป็นธรรมทุกกรณีแก่ทุกคนที่มีการพาดพิงถึงคดีนี้


ส่วนคดีขบวนการต้าเต้าตัดนิ้วที่พัทยา ตอนนี้สามารถจับผู้ก่อเหตุได้ 1 คน และอยู่ระหว่างการขยายผลเพิ่มเติม เนื่องจากพบว่ายังมีผู้ร่วมก่อเหตุอีก 2 คนที่ยังหลบหนี ทั้งนี้ในทางสืบสวน พบว่ากลุ่มผู้ต้องหาชาวจีนต้าเต้าที่ก่อเหตุคดีตัดนิ้วมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่าย Call Center และเกิดความขัดแย้งกันในกลุ่ม ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหานี้ไม่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มนายทุนจีนที่เปิดสถานประกอบการบันเทิงผิดกฎหมาย


 ด้านของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณข้อมูลจากสื่อมวลชนและนายชูวิทย์ที่สามารถปราบปรามและจัดการกลุ่มนายทุนจีนและนอมินีได้รวดเร็วมากขึ้น โดยหลังจากนี้วันที่ 8 พฤศจิกายน สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเข้าพบสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อร่วมกันหารือวางมาตรการป้องกันคนจีนทำผิดในไทย โดยยืนยันว่าหลังจากนี้จะดำเนินการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินและขยายผลสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดเพิ่มเติม พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยไม่ใช่ฐานมีการก่ออาชญากรรม ขอให้ชาวต่างชาติอย่ามาก่อคดีในประเทศไทยอีก


ขณะเดียวกันวันนี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เข้าร่วมสังเกตการณ์การแถลงข่าว และกล่าวชื่นชมการทำงานของตำรวจ ที่สืบสวนขยายผลหลังตัวเองเคยเปิดเผยข้อมูล กลุ่มนายทุนจีนที่ทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย พร้อมกล่าวเป็นนัยยะว่า การที่ ผบ.ตร.และนายกรัฐมนตรีสั่งการโดยเร็ว คงจะสามารถจัดการคดีได้เร็วขึ้น รวมไปถึงอาจจะเป็นจังหวะในการจัดการใครบางคนซึ่งไม่เปิดเผยว่าเป็นใคร และทิ้งท้ายว่า ตนคาดหวังที่จะช่วยนำคนจีนที่ดีมาท่องเที่ยวเราส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทย ไม่ใช่มาก่ออาชญากรรมในประเทศเช่นนี้

----------------------


'ชูวิทย์'ลากไส้' 5 กลุ่มมาเฟียจีน'หากินในไทย ทุกกลุ่มเชื่อม'กงสีใหญ่'ข้ามชาติ

 วานนี้ (1 พ.ย.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุ "สาวไส้ 5 กลุ่มมาเฟียจีน

หลังจากการเปิดแผลจาก “ผับแฝงยานนาวา”

 จิ๊กซอว์ “อาชญากรจีนเทา” ในไทยที่เสวยสุขมานาน แผ่ขยายกิ่งก้านสาขาทั้ง กรุงเทพฯ พัทยา ไปยันภูเก็ต เริ่มปรากฏภาพชัดเจนขึ้น หากไม่จัดการวันนี้ เหล่า “อั้งยี่กุมารจีน” จะเหิมเกริม สร้างอิทธิพลแทรกซึมก่อความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับประเทศไทย คนจีนเหล่านี้ถือ 2 สัญชาติ เป็นคน 2 ซิม ใช้ทั้งสัญชาติไทย และสัญชาติจีน เมื่อทำผิดก็หอบเงินหนีกลับบ้านเก่า


วิธีการแรกเริ่ม เอาชื่อคนตายสวมบัตร แปรสภาพเป็นคนไทย แล้วจ้างคนไทยเปิดบริษัทนอมีนี เปิดบัญชีธนาคาร โอนเงินจากประเทศจีนที่ได้มาจากการโกงสารพัด ซึ่งระยะหลังรัฐบาลจีนเข้มงวดมากขึ้น


เงินสกปรกจากจีน ที่เป็นเงิน “เดอร์ตี้มันนี่“ (Dirty Money) ถูกนำมาฟอกให้ขาวในไทยด้วยการลงทุนที่หน้าฉากเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าเป็นผับ เป็นบาร์ เป็นร้านอาหาร แต่หลังฉากทำทั้ง บ่อน ยา คอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ เสร็จแล้วกว้านซื้อที่ดิน ทรัพย์สินในไทย ทั้งโรงงาน และหมู่บ้าน เช่น รัชดา บางหมู่บ้านคนจีนเป็นเจ้าของเกือบครึ่ง โดยใช้ชื่อบริษัทนอมินีซื้อเงินสดเป็นเจ้าของโฉนด


คนไทยกลายเป็นชนกลุ่มน้อย โดยไม่ต้องรอกฎหมายขายที่ให้ต่างชาติ


จึงขอเปิดเผยเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมให้ได้ทราบ ถึงพฤติกรรมเหิมเกริมไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองของมาเฟียจีน 5 กลุ่ม ดังนี้

 กลุ่ม 1 “ต.ห.” คนจีนแปลงสัญชาติไทย ใจถึง เพราะอยู่นาน เส้นใหญ่ ใช้นอมินีจีนเสี่ยวเอ้อเป๋อป่องออกหน้า ตำรวจเกรงใจ เพราะมักอ้างตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ข่าวที่บุกยานนาวา จับคนจีนมาร่วมร้อย ได้ปลาซิวปลาสร้อย แต่มีตำรวจมือดี แอบปล่อยตัวผู้ต้องหาปลาใหญ่ไป 1 ตัว พรายกระซิบมาว่า คือ “ต.ห.” นั่นเอง ตอนนี้หายเข้ากลีบเมฆ แล้วทำตัวแอคอาร์ทออกข่าวว่าไม่เกี่ยว


หากวันนั้นถูกจับ กระเทือนไปถึงพรรคใหญ่ ชิบหายวายป่วงกันแน่ เลยต้องเอาตัวออกมาก่อน ขนาดระดับรองผู้กำกับลงมือหิ้วผู้ต้องหาออกจากโรงพักหน้าตาเฉย คิดดูว่าต้องใหญ่แค่ไหน?

 กลุ่ม 2 “โทนี่” สไตล์จีนชอบโชว์ นั่งรถโรลส์รอย มีนางแบบจีนขนาบข้างคลอเคลีย บอดี้การ์ดตามเป็นพรวน โทนี่พยายามเข้าหานักการเมืองไทย ขอแจมโครงการรัฐบาลสารพัดช่วงโควิด ไม่ว่าหน้ากากอนามัย เครื่องตรวจ ATK เอาหมด เป็นเจ้าของ “S P ผับ” ที่โด่งดัง ทำอะไรเล็กไม่เป็น ต้องใหญ่ๆ บิ๊กๆ ลงทุน 400-500 ล้าน ขนเครื่องเสียง ลำโพง อุปกรณ์ไฟ ชิพมาจากเสิ่นเจิ้น


 S P ผับ มีช่องทางลับ ประตูพิเศษเชื่อมต่อไปให้เฉพาะคนจีนเข้าได้เท่านั้น มีห้องไว้เล่นยาต่างหากเป็นสัดส่วน เวลาตำรวจตรวจก็ไม่เจอ มีคนชื่อ “น้อย” คอยเคลียร์ที่ สน.มักกะสัน ตำรวจเขารู้จักกันดี ตอนนี้โทนี่เห็นท่าไม่ดี ประกาศขายหุ้นละ 5 ล้านบาท ขาย 100 หุ้น ได้เงิน 500 ล้าน เตรียมเผ่นกลับไปตั้งหลักเมืองจีน


 กลุ่ม 3 “เดวิด“ เจ้าของ “B F ผับ” แหล่งซ่องสุมคนเล่นยาใส่แว่นดำสั่นหัวกันทั่วผับคืนวันฮาโลวีน ศุกร์-เสาร์ แต่ตำรวจไม่รู้ ดันไปวันจันทร์ จะไปเห็นอะไรมาก? งง ขานี้อยู่ไทยนาน พูดไทยคล่อง แต่ก่อนเปิดบ่อนซี้กับนายตำรวจใหญ่ระดับนายพล ชื่อเล่นย่อ “ก.” ที่เข้าคุกเรื่องบ่อน กระสันเปิดบ่อนในซอยสถานฑูตลาวเมื่อหลายปีก่อน แต่งหรูหราแต่ไม่ทันเปิด โดนแฉเสียก่อน เมื่อก่อนเป็นแค่ระดับ “ผู้จัดการ” แต่เริ่มแตกตัวตั้งตนเป็นใหญ่ แยกกลุ่มออกมาเหมือนนักการเมืองไทยยังไงยังงั้น ดังแล้วแยกวง

กลุ่ม 4 “ยู่ ฉาง เฟย” ไปสร้างอาณาจักรผับใหญ่ที่พัทยา มีบ้านใหญ่โตหรูหราอย่างกับวัง หูตาไว พอมีเรื่องเผ่นไปมุกดาหาร จะข้ามฝั่งนั่งรถไฟความเร็วสูงของลาวกลับจีน แต่ไม่ทันตำรวจไทย “บิ๊กโจ๊ก” โดดรวบคาด่าน

 กลุ่ม 5 “หมิง” แห่ง “T O ผับ” แตกตัวมาจาก ยู่ ฉาง เฟย ทิ้งให้คุมกรุงเทพฯ ย่านรัชดา ทำมานาน หลากหลายอบายมุข ไม่มีเรื่องดี คู่กับ “กู๋เอี่ยว” แห่ง “C O ผับ” ที่พัทยา ไอ้นี่สไตล์จีนแท้ โวยวายจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่แล้ว มาจับอั๊วอีกได้ไง? พุธโธ่! มันไม่ทั่วถึงหรือเปล่า จะมาโวยอะไร? เลยต้องโดนไปตามระเบียบ งานนี้แตกกระเซ็นกระซอนไปคนละทิศคนละทาง


ทั้ง 5 กลุ่ม รู้จักกัน อยู่ภายใต้ “กงสีใหญ่” ของ “เจ้าเหว่ย” แห่ง “คิงส์โรมัน” คนนี้คือตัวจริงเสียงจริง ไม่เคยย่างกรายมาเหยียบเมืองไทย แต่เส้นสนกลในมากมาย หากไทยมีปัญหาก็ข้ามไปพม่า เมียวดี ลาว หรือเขมร ที่สีหนุห์วิลล์ และยังมีคอนเนคชั่นไปถึงกลุ่มทุนจีนที่ไปลงทุนคาสิโนอยู่ที่ฟิลิปปินส์ ส่วนรองหัวหน้าของกงสีใหญ่ชื่อ “อาเฟย” อายุ 70 กว่า มีเงินระดับหลายหมื่นล้าน

ทั้ง 5 กลุ่มจะต้องส่งเงินให้กงสีใหญ่ผ่าน อาเฟย ไปถึง จ้าวเหว่ย ที่เป็นเสมือนบริษัทแม่คิงส์โรมัน


งานนี้ทั้งใหญ่ ทั้งยาวครับท่าน บิ๊กต่อกับบิ๊กโจ๊ก รายงานไปถึง ผบตร. และนายกฯ ได้เลย


เรื่องที่บอกนี้ รู้จักชูวิทย์น้อยๆ แต่รู้จักชูวิทย์ยาวๆ แล้วข้อมูลจะไหลมาอีกเยอะ



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/A2oWIabcKVo

คุณอาจสนใจ

Related News