อาชญากรรม

รวบดาวเด่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกเหยื่อสูญ 150 ล้าน สารภาพหมดเปลือก ทำงาน 1 ปี ได้ค่าคอมมิชชั่น 4 ล้าน

โดย passamon_a

30 ต.ค. 2565

1.2K views

ตำรวจ PCT รวบดาวเด่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกเหยื่อสูญ 150 ล้าน สารภาพหมดเปลือก เผยกลวิธีพูดให้เหยื่อหลงกล ทำงาน 1 ปี ได้ค่าคอมมิชชั่นกว่า 4 ล้าน ถูกรวบเพราะมาเยี่ยมบ้าน ตำรวจเตรียมขยายผล จ่อหมายจับยกแก๊งกว่า 50 คน


จากกรณีแพทย์อายุรกรรมในจังหวัดชุมพร เข้าแจ้งความถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงิน สูญเงินไปกว่า 100 ล้านบาท เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ล่าสุด วันที่ 29 ต.ค.65 ตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ PCT สามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ ฉายา ดาวเด่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกข้าราชการเกษียณ หมอ และนักลงทุน สูญเงินรวม 150 ล้านบาท


โดย พลตำรวจตรีธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบังบัญชาการตำรวจนครบาล หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สารสนเทศ หรือ PCT แถลงข่าวการจับกุม นายชลวิชา ปานสมุทร หรือ เบียร์ อายุ 32 ปี ฉายา ดาวเด่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ผู้ต้องหาเครือข่าย Call Center ผู้แอบอ้างตัวเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย หลอกให้ผู้เสียหาย จำนวน 3 คดี มีผู้หลงเชื่อ โอนเงินมูลค่าความเสียหายรวม 150 ล้านบาท


พลตำรวจตรีธีรเดช กล่าวว่า ในช่วงปี 2565 ประมาณเดือนเมษายน ผู้ต้องหาได้หลอกลวงนางอำภา ข้าราชการครูเกษียณไปจำนวนเงิน 11 ล้านบาท เดือนกรกฎาคม ได้หลอกนายชาญชัย นักลงทุนหุ้นไปจำนวน 41 ล้านบาท และรายล่าสุด เมื่อต้นเดือนตุลาคมได้หลอกนางรัชณี คุณหมอ ไปจำนวนเงิน 101 ล้านบาท


โดยหลังเกิดเหตุตำรวจ PCT ได้ทำการสืบสวนสอบสวนทั้งในประเทศไทยและประเทศกัมพูชา จนพบหลักฐานว่า นายเบียร์ และพวก ร่วมกันหลอกลวงให้มีการโอนเงินโดยมีออฟฟิศ อยู่ที่ตึกประตูดำ เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา จึงวางแผนเปิดปฏิบัติการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประตูดำ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พบมีชาวไต้หวันเป็นหัวหน้า ได้พาพนักงานคอลเซนเตอร์คนไทย รวมถึงนายเบียร์ หลบหนีออกจากช่องทางลับกลับมาที่ไทย ก่อนที่ตำรวจ PCT จะติดตามจับกุมได้ที่อำเภอวังน้อยพระนครศรีอยุธยา


ก่อนการแถลงข่าว พลตำรวจตรีธีรเดช ได้เชิญนายชาญชัย หนึ่งในผู้เสียหาย ที่ถูกหลอก จำนวน 41 ล้านบาท มาร่วมแถลงข่าวด้วย และได้โฟนอิน ให้ฟังเสียงของ นายเบียร์ผู้ต้องหา ที่อ้างเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย จากนั้นนายเบียร์ได้สนทนากับนายชาญชัย พูดเหมือนตอนที่ก่อเหตุ นายชาญชัยได้ยินเสียง ก็จำได้ทันที แล้วบอกว่า นี่คือผู้ต้องหาที่หลอกในวันนั้น


นายชาญชัย เล่าว่า วันเกิดเหตุมีโทรศัพท์มาหา อ้างว่าตนส่งกระเป๋า ซึ่งภายในมีกัญชาและพาสปอร์ตหลายเล่ม ไปไต้หวัน แล้วถูกอายัด ให้มาแสดงตัวเพื่อรับของคืน  จากนั้นก็โอนสายไป สภ.เมืองเชียงราย แล้วโอนสายไป หา ผกก.สภ.เชียงราย (ตัวปลอม) หลอกว่า สิ่งที่ตนส่งไป เจ้าหน้าที่จับคนก่อเหตุได้แล้ว ต้องให้ตนไปแสดงตัวเพราะเป็นผู้ร่วมขบวนการ และให้มารับของคืนหากไม่มารับคืน ถือเป็นความผิด


ตอนนั้นก็สงสัย และตอบกลับว่าไม่ได้ส่งไป ไม่มีพัสดุ ตนเองอยู่กรุงเทพฯ ไม่สามารถไปรับของคืนได้ จากนั้นผู้ต้องหาที่อ้างว่าเป็น ผกก. บอกว่า ขอตรวจสอบเส้นทางการเงิน หากไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการนี้จริง ตนจึงให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และโชว์บัญชี จากนั้นก็มีการต่อสายให้คุย ลูกน้องอีกคน โทรมาเร่งรัดทุก 3 ชม. ตลอดทั้งวัน สั่งให้โอนเงินเข้าบัญชีเพื่อตรวจสอบ โอนไปทั้งหมดประมาณ 10 บัญชี


ก่อนที่จะโอน นายชาญชัยยังถามผู้ต้องหาว่า เงินนี้จะโอนคืนเมื่อไหร่ เพราะเป็นเงินที่ต้องนำไปรักษาผู้ป่วย ผู้ต้องหารับปากว่าขอตรวจสอบก่อน โดนเงินนี้ก็ไปอยู่ที่ปปง. เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจสอบจะคืนให้ นายชาญชัย เชื่อทุกอย่างที่ผู้ต้องหาหลอก จนมารู้ตัวว่าถูกหลอก และไม่คิดว่าตำรวจจะสามารถจับผู้ต้องหาได้


จากนั้นพลตำรวจตรีธีรเดช ได้โฟนอินผู้เสียหายรายที่ 2 เป็นคุณหมอที่จังหวัดชุมพร เมื่อให้คุณหมอฟังเสียงของผู้ต้องหา ก็ยืนยันว่า ใช่เสียงเดียวกันกับที่หลอกในวันนั้น กรณีของคุณหมอ ผู้ต้องหาหลอกว่าเป็นผู้ดูแลคดีฟอกเงิน และให้คุณหมอบอกชื่อ และบัญชี มียอดเงินในบัญชีเท่าไหร่ ที่มาของเงินมาอย่างไร เพื่อตรวจสอบ โดยคุณหมอเชื่อสนิทใจ ว่าผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่จริง ยอมโอนเงินให้ตรวจสอบ ตั้งแต่วันที่ 25-29 กันยายน รวมแล้วประมาณ 101 ล้านบาท


นายเบียร์ เปิดใจเล่าถึงการเข้าไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า เริ่มจากหางานในอินเตอร์เน็ต แล้วสมัครไปทำงานเป็นแอดมินพนันออนไลน์ ที่ประเทศกัมพูชา ก่อนทำงาน ก็จะถูกสัมภาษณ์ก่อนเหมือนการทำงานปกติ จะถามถึงความถนัดของแต่ละคน โดยนายเบียร์ บอกว่า ถนัดเรื่องคอมพิวเตอร์ โดยได้ค่าตอบแทน รายเดือน เดือนละ 2 หมื่น และหากเป็นพนักงานแล้วก็ได้เพิ่มเงินเดือนเป็น 3 หมื่น และได้ค่าคอมมิชชั่นจากเหยื่อสำเร็จ 3 เปอร์เซนต์


เมื่อทำไประยะหนึ่ง ก็ถูกย้ายจากแอดมินพนันออนไลน์ มาทำคอลเซ็นเตอร์ ช่วงแรก ทำงานระดับสาย 1 สาย 2 คือ ทำหน้าที่สอบถามข้อมูลลูกค้า เหมือนเวลาที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำ คือ สอบถามชื่อ รายละเอียด และเริ่มเข้าสู่การหลอก ในระยะเวลากว่า 1 ปี นายเบียร์สามารถหาเหยื่อรายใหญ่ได้หลายครั้ง หลอกเงินได้หลายล้านบาท แต่รายใหญ่ ๆ ประกอบด้วย ครูเกษียณได้เงิน จำนวน 11 ล้านบาท นายชาญชัย หลอกไป 41 ล้าน และคุณหมอ หลอกไป 101 ล้าน ซึ่งเหยื่อ 3 ราย ที่นายเบียร์หลอกสำเร็จ ได้รับค่าคอมมิชชั่น จำนวน 4 ล้านบาท


และก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เป็นพนักงานสาย 3 จะเรียกว่าสายเชือด คือหลอกเหยื่อโอนเงินก้อนใหญ่ ซึ่งพนักงานระดับสาย 3 นี้ จะได้รับความเชื่อถือ และได้รับการแต่งตั้งเป็นดาวเด่นของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถ้าทำยอดได้ ในแต่ละครั้งจะมีการฉลอง และกินเลี้ยงกัน


โดยนายเบียร์ บอกว่า การฉลองคือการได้กินหมูกระทะเท่านั้น ซึ่งการอยู่ที่โน้นได้กินหมูกระทะคือพิเศษแล้ว เพราะไม่สามารถออกไปไหนได้ และสิ่งพิเศษ สำหรับพนักงานสาย 3 คือ มีสิทธิ์ออกนอกพื้นที่ได้ 15 วัน จะไปไหนก็ได้


เมื่อถามถึงข้อมูลที่นายเบียร์นำมาหลอกผู้เสียหาย นำมาจากไหน นายเบียร์ อ้างว่า ไม่รู้ว่าข้อมูลคนที่หลอกนั้นมาจากไหน แต่จะมีฝ่ายรวบรวมข้อมูลซึ่งจะเรียกว่าระบบหลังบ้าน โดยบอสชาวไต้หวัน ดูแลข้อมูลเหล่านี้ แล้วจะรวบรวมส่งให้แต่ละสายจัดการ โดยบอสจะรู้ข้อมูลส่วนบุคคลของเหยื่อ รู้ว่าทำอาชีพอะไร มีบัญชีกี่เล่ม นอกจากข้อมูลแล้วยังมีรูปภาพ ในทะเบียนราษฎร์และเอกสารสำคัญของเหยื่อด้วย


เมื่อถามว่าตลอดระยะเวลาที่ทำงานนายเบียร์หลอกเหยื่อไปแล้วกี่คน นายเบียร์ตอบว่า จำไม่ได้เพราะเยอะจนนับไม่ถ้วน แต่รายใหญ่ ๆ ก็ 3 รายดังกล่าว ส่วนวิธีการพูดคุยหว่านล้อมจนเหยื่อเชื่อ นายเบียร์บอกว่า สิ่งที่หลาย ๆ คน เจอคล้าย ๆ กัน อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ แต่เหยื่อที่เจอนายเบียร์ เชื่อแบบสนิทใจ


นายเบียร์บอกว่า วิธีการพูดของเขา ได้ทักษะมาจากบอสชาวไต้หวันสอน แม้ว่าบอสจะพูดภาษาไทยไม่ได้ แต่มีล่ามเป็นคนไทย สอนอีกครั้งจะบอกวิธีการว่า เจอลูกค้าลักษณะนี้จะต้องคุยแบบใด น้ำเสียงใด ส่วนที่หลอกว่าเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย ก็เพราะบอสเขียนมาให้พูด แบบนี้ นายเบียร์ รับบทเป็น ผกก.ปลอม และมีคู่หูอีกคน ชื่อนายเต่า รับบทเป็นรอง ผกก.สภ.เมืองเชียงราย


วิธีการหลอกที่ทำให้เหยื่อเชื่อ จะคุยหว่านล้อมและข่มขู่เพื่อให้เหยื่อกลัว และทำตามที่สั่ง ประโยคสำคัญที่ทำให้เหยื่อเชื่อ จะบอกว่า "ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจไม่ต้องกลัวทางเราจะมีการตรวจสอบ และตรวจสอบพบว่าบริสุทธิ์"


ส่วนเงินในบัญชี ก็ใช้เวลาตรวจสอบ เพียง 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง โดยให้เหยื่อถือสายรออยู่ด้วย จุดนี้จึงทำให้เหยื่อทุกคนไว้ใจและเชื่อว่านี่คือ ตำรวจจริง ๆ


ส่วนน้ำเสียงที่เข้ม สุขุม ดูน่าเชื่อถือนี้ นายเบียร์บอกว่า ไม่ได้ลอกเลียนแบบมาจากตำรวจ แต่เป็นการสอนของบอส ซึ่งไม่รู้ว่านำข้อมูลและวิธีการพูดมาจากไหน ซึ่งการพูดแบบนี้ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องซ้อมเป็นประจำ เพื่อไม่ให้พลาด ในแต่ละวันบอสจะมีสคริปต์ให้พูดตาม บางครั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วยกันเองจับคู่ซ้อมคุยกันเพื่อความชำนาญ และใครที่โดนลงโทษ ทำยอดไม่ได้ ก็จะต้องหัดซ้อมพูดตามสคริปต์นอกเวลางาน เปรียบเหมือนการเรียนพิเศษ


ด้าน พลตำรวจตรีธีรเดช ยังพูดว่าการกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำให้ตำรวจทำงานลำบาก ตอนนี้ตำรวจจริง ๆ โทรคุยกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายก็ยังไม่เชื่อ



ชมผ่าน YouTube ได้ที่นี่ : https://youtu.be/uVATkPn5iqs

คุณอาจสนใจ

Related News