สังคม

เจ้าของ 'ดารุมะซูชิ' ปัดฉ้อโกง อ้างขาดสภาพคล่อง ตร.ไม่ปักใจเชื่อ เร่งสอบเส้นทางเงิน

โดย panwilai_c

22 มิ.ย. 2565

172 views

คืบหน้าคดีฉ้อโกงจากการหลอกขาย voucher ธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ญี่ปุ่นดารุมะ ซูชิ หลังจากมีผู้เสียหายทยอยเข้าแจ้งความจำนวนมาก ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายเมธา หรือบอนนี่ เจ้าของร้านที่ก่อนหน้านี้หลบหนีไปต่างประเทศ ถูกจับได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขณะเดินทางกลับเข้ามา ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาปฏิเสธไม่ได้ฉ้อโกง อ้างธุรกิจขาดสภาพคล่อง จึงขาย voucher ราคาถูก เร่งตรวจสอบเส้นทางการเงินคืนให้ผู้เสียหาย



พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เข้าสอบปากคำนายเมธา หรือ บอนนี่ ภายในห้องสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ บก.ปคบ.หลังถูกจับกุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ



ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่า ทำไมจึงตัดสินใจกลับมาไทย ยังมีทรัพย์สินหรือมีอะไรอยากบอกกับผู้เสียหายหรือไม่ แต่นายเมธา ไม่ตอบคำถาม จนเมื่อทีมข่าวสอบถามว่า "ตั้งใจกลับมาตั้งหลักต่อสู้คดีใช่หรือไม่" นายเมธาได้แต่พยักหน้า



จากนั้น พล.ต.ท.จิรภพ พร้อมผู้เกี่ยวข้อง แถลงผลการจับกุม จากการสืบสวนพบว่า ผู้ต้องหาหลบหนีออกไปจากไทย ตั้งแต่ช่วงกลางดึกวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา แวะเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมีปลายทางอยู่ที่สหรัฐอเมริกา โดยลงเครื่องบินที่สนามบิน JFK นิวยอร์ค จึงได้ประสานกับ เจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา



จากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การว่า ได้ทำธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2559 แต่เริ่มเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง จึงขายโปรโมชั่นคูปองออนไลน์ ตั้งแต่ปี 2563 และเมื่อเดือนมกราคม 2565 ค่อยๆ ดัมพ์ราคาลงมาเหลือ 199 บาท ซึ่งถูกกว่าความเป็นจริงมาก โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบ และนำยอดขายวันละกว่า 1 ล้านบาทมาเข้าระบบ แต่เมื่อโดนทวงหนี้สินจำนวนมากกว่าร้อยล้านบาท จึงตัดสินใจหลบหนีไปสหรัฐอเมริกา



และเมื่อเห็นข่าว และถูกกดดันจากหลายทาง จึงตัดสินใจเดินทางกลับมาที่ประเทศไทย //ซึ่งคำกล่าวอ้างว่าไม่ได้เจตนาฉ้อโกงนั้น เป็นคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหา ตำรวจยังไม่ได้ปักใจเชื่อ โดยจะยึดตามพยานหลักฐานเป็นหลัก



ส่วนการเดินทางออกนอกประเทศ จะเป็นไปเพื่อโยกย้ายทรัพย์หรือไม่ ก็มีความเป็นไปได้ แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ซึ่งตำรวจจะดูจากพยานหลักฐานเป็นหลัก และการที่กลับมา เชื่อว่าเกิดจากการถูกกดดัน และผู้ต้องหาอาจต้องการกลับมาสู้คดี



ส่วนทรัพย์สิน ขณะจับกุม เจ้าหน้าที่ตรวจยึดเงินสดได้อีก 20,186 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 710,000 บาท ส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินอื่นๆ อยู่ระหว่างการดำเนินการ เบื้องต้นได้อายัดเงินในบัญชีธนาคารแล้วจำนวนหลักแสน อยู่ระหว่างการประสานขอข้อมูลเส้นทางการเงิน ที่คาดว่าจะใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ถึงหนึ่งเดือน และจะต้องสืบสวนต่อไปว่ามีทรัพย์สินอื่นๆ ซุกซ่อนอยู่ที่ใดอีกหรือไม่ หากพบว่ามีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน ก็จะเอาผิดเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.การฟอกเงิน และหากพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ก็จะดำเนินการเอาผิดด้วยเช่นกัน

คุณอาจสนใจ

Related News