หมอเด็ก ชี้ วัคซีนเป็นตัวหลักเกราะป้องกันเด็ก

ในการเสวนาผ่านทางออนไลน์ในหัวข้อ โอมิครอน ร้ายจริงหรือ? ถึงต้องปิดโรงเรียน ซึ่งจัดโดย กระทรวงศึกษาธิการ รองศาสตราจารย์(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย บอกว่า จากการวิเคราะห์สายพันธุ์โอมิครอน พบระบาดได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้า 4-5 เท่า ส่วนความรุนแรงอาจไม่ได้เทียบเท่า แต่ก็มีปัจจัยหรือข้อยกเว้น หากผู้ป่วยเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับมานานแล้ว หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว การได้รับวัคซีนจึงสำคัญอย่างมาก ควบคู่ไปกับการปฏิบัติมาตรการสำคัญ โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัย

ส่วนคำถามว่า โรงเรียนสามารถกลับมาเปิดเรียนแบบ On-site ได้หรือไม่นายแพทย์ทวี มองว่า กลุ่มเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่ทยอยได้รับวัคซีนไปแล้ว ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาให้กลับมาเรียนแบบ On-site ได้ เพราะเด็กวัยนี้สามารถดูแลตัวเองได้ และหากมองในแง่ดี ด้วยสายพันธุ์โอมิครอน ที่ไม่มีความรุนแรง เป็นลักษณะของเชื้ออ่อนๆ คล้ายวัคซีนธรรมชาติ อาจมีส่วนช่วยกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันภายในร่างกายไปในตัว

ส่วนความกังวลเรื่องสายพันธุ์ผสม"เดลต้าครอน" ถือว่า เป็นธรรมชาติของไวรัสที่ต้องวิวัฒนาการกลายพันธุ์ เพื่อความอยู่รอด ในอนาคตมีโอกาสพบได้อีกเรื่อยๆ ทุกคนมีโอกาสได้รับเชื้อเช่นกัน และท้ายที่สุดจะคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ ที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนเป็นประจำทุกปี

ด้านปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี ซึ่งมีประมาณ 5 ล้าน 2 แสนคน ขณะนี้ยังไม่ได้รับวัคซีน แต่เบื้องต้น ผู้ปกครองยื่นความประสงค์ให้รับวัคซีนมากกว่า 3 ล้าน 6 แสนคน หรือมากกว่าร้อยละ 70 ซึ่งจะฉีดในเดือนหน้า

ขณะที่นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีฯศึกษาธิการ กล่าวว่า รูปแบบการเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือ การเรียนแบบ On-site เพราะจะได้มีปฏิสัมพันธ์ เรียนรู้ตามช่วงวัย ได้มอบหมายให้โรงเรียนแต่ละพื้นที่ ประเมินร่วมกับคณะกรรมการควบคุมโรคจังหวัด เพื่อเปิดเรียนได้ แต่ช่วงโอมิครอนทำให้ต้องปิดเรียนและปรับรูปแบบตามสถานการณ์