กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงเยี่ยมศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนทรัพย์ทรายทอง จังหวัดบุรีรัมย์

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงติดตามการดำเนินงานโครงการตามพระราชดำริ ที่ศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนทรัพย์ทรายทอง อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์

เวลา 13.36 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงติดตามการดำเนินงานโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริ ของศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ทรัพย์ทรายทอง อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ปัจจุบันมีนักเรียน 93 คน ทางโรงเรียนส่งเสริมให้นักเรียนได้รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ส่งผลให้นักเรียนมีภาวะโภชนาการดี นอกจากนี้ยังจัดครูพยาบาลออกไปเยี่ยมชุมชน เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้ความรู้ด้านโภชนาการแก่ผู้ปกครอง และในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปี 2564 จนถึงปัจจุบันโรงเรียนเปิดสอนตามปกติ เนื่องจากไม่พบการแพร่ระบาดในชุมชน และได้ส่งเสริมให้ชุมชนปฏิบัติตามมาตรการการป้องกัน การแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด



ในด้านการศึกษามีการประเมินนักเรียนเป็นรายบุคคล และสอนเพิ่มเติมโดยเน้นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 5 เพื่อเตรียมความพร้อมในการสอบ O-NET ต่อไป ในการนี้ทอดพระเนตรกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย เรื่องสระ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3, กิจกรรมโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน ที่สามารถผลิตเนื้อสัตว์ได้เพียงพอต่อการบริโภคของนักเรียน ส่วนอาหารประเภทถั่วเมล็ดแห้ง และพืช และผลไม้ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากโรงเรียนเป็นพื้นที่ลาดชัน ในปี 2564 จึงได้ปรับถมดิน เพื่อเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูก และยกร่องแปลงผัก รวมถึงปลูกมะละกอ ฝรั่ง และกล้วยน้ำว้าเพิ่ม, กิจกรรมส่งเสริมอาชีพ ฝึกให้นักเรียนทำไข่เค็มดินภูเขาไฟ จากไข่เป็ดจำนวนมากที่ผลิตได้ในโรงเรียน และดินภูเขาไฟที่มีอยู่ในท้องถิ่น เพื่อใช้บริโภคภายในโรงเรียน และส่งขายผ่านระบบสหกรณ์, การทำโต๊ะนั่งปูนปั้นไม้เทียม, กระถางต้นไม้ปูนปั้น และงานจักสานไม้ไผ่ เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น



โอกาสนี้ ทรงติดตามการดำเนินงานของกลุ่มเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริ พื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ที่เริ่มดำเนินการในปี 2556 ดำเนินการไปแล้ว 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอกะสัง, อำเภอพลับพลาชัย, อำเภอเฉลิมพระเกียรติ, อำเภอพุทไธสง และอำเภอนางรอง มีหน่วยงานต่างๆ เข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่ม เพื่อช่วยเหลือกัน โดยลดรายจ่ายและสร้างรายได้จากวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่น ปัจจุบันมีสมาชิก รวม 229 คน ผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อบริโภคในครัวเรือน และบางส่วนส่งขายผ่านระบบออนไลน์ สร้างรายได้ให้กับครอบครัว