ครั้งแรก! 'คามาลา แฮร์ริส' เข้าถ้ำเสือ ให้สัมภาษณ์ 'ฟ็อกซ์ นิวส์' สื่ออนุรักษ์นิยมสนับสนุนพรรครีพับลิกัน

รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ (Fox News) สื่ออนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนพรรครีพับลิกันเป็นครั้งแรก

ในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะจัดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ รองประธานาธิบดีแฮร์ริส แคนดิเดตจากพรรคเดโมแครตได้ตัดสินใจสร้างเซอร์ไพรส์ใหม่ด้วยการให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ (Fox News) หวังดึงคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจว่า จะเลือกใคร

การสัมภาษณ์ของแฮร์ริสสามารถเรียกได้ว่า เป็นการเข้าถ้ำเสือก็ได้ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ฟ็อกซ์นิวส์ (Fox News) เป็นสื่อฝ่ายอนุรักษ์นิยมและให้การสนับสนุนพรรครีพับลิกันมาอย่างช้านาน ซึ่งการสัมภาษณ์จัดขึ้นที่รัฐเพนซิลเวเนีย หนึ่งในรัฐสมรภูมิ หรือ สวิงสเตท (Swing State) ที่จะเป็นตัวตัดสินผลการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยมี เบร็ต ไบเออร์ (Bret Baier) หัวหน้าผู้สื่อข่าวการเมืองของฟ็อกซ์นิวส์มาหน้าที่เป็นพิธีกรดำเนินการสัมภาษณ์

รายงานระบุว่า ตลอดการสัมภาษณ์แฮร์ริสและไบเออร์ได้พูดซ้อนกันหลายครั้ง และแฮร์ริสก็ดูเหมือนจะหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม เธอก็สามารถส่งสารที่ต้องการจะบอกกับผู้ฟังที่เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้เป็นอย่างดี

หนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยในการสัมภาษณ์ครั้งนี้คือ การจัดการปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายในสมัยของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยแฮร์ริสได้ปกป้องรัฐบาลของไบเดนในเรื่องนี้และตำหนิอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่า “เลือกที่จะสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา” หลังจากเขาบอกให้สมาชิกพรรครีพับลิกันปฏิเสธร่างกฎหมายคนเข้าเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรคในช่วงต้นปี

ไบเออร์ได้ต้อนถามปัญหาคนเข้าเมืองผิดกฎหมายที่เพิ่มขึ้นในสมัยไบเดนกับแฮร์ริส โดยให้เธออธิบายถึงการที่รัฐบาลไบเดนตัดสินใจยกเลิกนโยบายที่เข้มงวดบางอย่างของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ และให้พูดถึงกรณีที่มีหญิงคนหนึ่งไปให้การเป็นพยานในสภาคองเกรส เล่าถึงการสูญเสียลูกสาวจากน้ำมือของผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย

แฮร์ริสก็บอกว่า เธอรู้สึกเสียใจกับการสูญเสียของผู้หญิงคนนี้ แต่อยากให้มาพูดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันดีกว่า

ทั้งนี้ ทรัมป์และพรรครีพับลิกันอ้างว่า ผู้อพยพเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมรุนแรงในสหรัฐฯ แม้จะมีการศึกษาออกมาว่า ผู้อพยพก่อเหตุอาชญากรรมน้อยกว่าคนกลุ่มอื่นก็ตาม

นอกจากนี้ แฮร์ริสยังยืนยันว่า หากเธอชนะการเลือกตั้ง การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเธอจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากไบเดน โดยบอกว่าตำแหน่งประธานาธิบดีของเธอจะไม่เป็นการสานต่อตำแหน่งจากไบเดน

ขณะเดียวกัน แฮร์ริสยังปกป้องไบเดนเกี่ยวกับปัญหาสภาพจิตใจของเขาหลังการดีเบตที่ล้มเหลวกับทรัมป์ เมื่อเดือนมิถุนายนก่อนที่เขาจะถอนตัวจากการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนกรกฎาคม ซึ่งแฮร์ริสบอกว่า ไบเดนมี “วิจารณญาณ” และ “ประสบการณ์” สำหรับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และยังตั้งคำถามถึงความเหมาะสมสำหรับการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ โดยกล่าวว่า “ตอนนี้ โจ ไบเดนไม่มีชื่ออยู่บนบัตรลงคะแนนแล้ว แต่โดนัลด์ ทรัมป์ยังมีอยู่”

รองประธานาธิบดีแฮร์ริสยังถูกบี้ถามถึงจุดยืนในเรื่องการใช้เงินภาษีอุดหนุนการผ่าตัดแปลงเพศให้กับนักโทษข้ามเพศ ซึ่งทรัมป์ได้ทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อโจมตีเธอในเรื่องนี้ในการหาเสียงที่รัฐสมรภูมิต่าง ๆ ซึ่งแฮร์ริสก็บอกว่า เธอจะปฏิบัติตามกฎหมาย และว่าในสมัยทรัมป์ก็มีอะไรแบบนี้เหมือนกัน แฮร์ริสจึงโจมตีทรัมป์ว่า “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”

การสัมภาษณ์นี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที และถือเป็นครั้งแรกที่แฮร์ริสปรากฏตัวในฐานะผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีบนสื่อฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่มักจะล้อเลียนเธอกับสมาชิกพรรคเดโมแครตอยู่เป็นประจำ

หลังจากการสัมภาษณ์จบลง ภายในระยะเวลาไม่กี่นาที ทีมหาเสียงของทรัมป์ก็ออกแถลงการณ์บอกว่า การสัมภาษณ์ของแฮร์ริส “ล้มเหลวไม่เป็นท่า”

ล่าสุด มีผลสำรวจความนิยมจากสำนักข่าว CNN เผยแพร่ออกมา ระบุว่า ยังไม่มีใครเป็นผู้นำที่ชัดเจนในศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ โดยแฮร์ริสมีคะแนนความนิยมอยู่ที่ประมาณ 50% ส่วนทรัมป์มีคะแนน 49% ขณะที่โพลล์ของรอยเตอร์สก็บอกว่าแฮร์ริสมีคะแนนความนิยมนำทรัมป์อยู่แค่ 3% เท่านั้น 


โดย paweena_c

17 ต.ค. 2567

20 views

EP อื่นๆ