บันเทิง

‘มาริโอ้’ สีหน้าเครียด หลังให้ปากคำ ปมรถหรูสวมทะเบียน ยืนยันบริสุทธิ์ใจไม่รู้เห็น

โดย paweena_c

10 ส.ค. 2566

166 views

‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ ให้ปากคำตำรวจไซเบอร์ ในฐานะพยาน นำเอกสารหลักฐานมาแสดง หลังมีชื่อครอบครองรถสวมทะเบียน

ไปกันที่เรื่องของ ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ เมื่อเช้าวานนี้ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เพื่อให้ปากคำตามหมายเรียก พร้อมนำเอกสารหลักฐานมาแสดง หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพบรายชื่อของ ‘มาริโอ้’ เชื่อมโยงกับการครอบครองรถยนต์ที่สวมทะเบียนผิดกฎหมาย

ซึ่งก่อนหน้านี้ ‘มาริโอ้’ เคยให้สัมภาษณ์บอกว่า ตนเองไปซื้อรถจากคนไว้เนื้อเชื่อใจกัน เป็นรุ่นพี่ แต่ตนเองไม่ได้รถ แต่ปรากฎว่าทะเบียนมันเป็นชื่อ “มาริโอ้” ไปแล้ว ซึ่งพอมีปัญหาว่าไม่ได้รถ ทางรุ่นพี่ก็ได้คืนเงินมาแล้วทั้งหมด แต่ทะเบียนยังเป็นชื่อของ ‘มาริโอ้’ อยู่

โดย ‘มาริโอ้’  ให้ปากคำ มีสีหน้าเครียด หลังจากให้ปากคำเสร็จ ‘มาริโอ้’ ได้อ่านเอกสารคำให้การและเซ็นเอกสาร ก่อนจะเดินออกจากห้องสอบสวน และไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด เพียงแค่ตอบคำถามระหว่างเดินกลับว่าตนเองมาให้ปากคำในฐานะพยาน และไม่มีความกังวล

ผู้สื่อข่าวก็ถามว่า ทราบที่มาของทะเบียนรถที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ ‘มาริโอ้’ ตอบว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการและได้ให้ปากคำกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจหมดแล้ว เมื่อถามว่ารถที่ซื้อมาถูกต้องหรือไม่ ‘มาริโอ้’ บอกว่ารายละเอียดขอให้ถามทางผู้ใหญ่ ยังไม่สามารถพูดอะไรได้ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ 

ขณะที่ ‘พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์’ รอง ผบช.สอท. เปิดเผยว่า ในระหว่างสอบปากคำ ‘มาริโอ้’  มีความกังวล แต่ยังยืนยันในความบริสุทธิ์ใจของตนเองว่าไม่รู้เห็นหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการแฮกเข้าระบบของกรมการขนส่งทางบกหรือกรณีการซื้อขายรถผิดกฎหมาย โดย ‘มาริโอ้’ ได้นำพยานเอกสารเป็นสำเนาสัญญาซื้อขายมามอบให้ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนก็รับฟังไว้เป็นข้อมูล

ซึ้งเมื่อวานนี้ก็ได้มีการเรียกสอบพยานทั้งหมด 3 ปาก ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายรถกับ ‘มาริโอ้’ คือ ‘มาริโอ้’ และนายก้อง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่ขายรถให้กับมาริโอ้ และพี่ชายของนายก้อง ส่วนความสัมพันธ์นั้น ก่อนหน้านี้ มาริโอ้ เคยซื้อเฟอร์นิเจอร์จากนายก้อง จนมีความสนิทสนมและไว้ใจกัน แต่ไม่เคยซื้อขายรถกันมาก่อน

โดยนายก้อง ได้เสนอขายรถ Benz G300 ให้กับมาริโอ้ ในราคา 1,500,000 บาท เมื่อเดือนธันวาคม 2565 โดยยังไม่ได้เห็นรถตัวจริง และมีการทำสัญญาวางมัดจำไว้ 500,000 บาทก่อน โดยมีกำหนดภายใน 60 วัน จะต้องส่งมอบรถแต่เมื่อถึงกำหนดก็ยังไม่ได้รถ ทางนายก้อง จึงคืนเงินมัดจำให้กับมาริโอ้

ส่วนเล่มทะเบียนนั้น นายก้อง ยังไม่ได้ส่งมอบให้มาริโอ้ เพียงแต่แจ้งว่าเล่มดังกล่าวได้เปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองรถเป็นชื่อมาริโอ้แล้ว มาริโอ้จึงแจ้งให้นายก้องไปดำเนินการทางทะเบียนเปลี่ยนชื่อมาริโอ้ออก ซึ่งถึงตอนนั้นมาริโอ้เองก็ไม่ทราบว่านายก้อง ได้เร่งดำเนินการทางทะเบียนให้แล้วหรือไม่ จนมาทราบภายหลังว่าเล่มทะเบียนไม่สามารถเปลี่ยนชื่อได้ เพราะถูกกรมการขนส่งทางบกอายัดเล่มทะเบียนเอาไว้แล้วหลังจากเกิดคดีขึ้น  

จากการสอบสวนเบื้องต้นเชื่อว่า มาริโอ้ น่าจะไม่ได้จงใจซื้อรถสวมทะเบียน แต่พนักงานสอบสวนก็จะต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ว่ามาริโอ้ไม่ได้มีเจตนาจงใจที่จะซื้อรถเถื่อน แต่หากภายหลังพบว่ามีเจตนาก็ถือว่ามีความผิด ซึ่งจากการที่พบว่าเล่มทะเบียนรถคันดังกล่าวมีชื่อของมาริโอ้เป็นผู้ครอบครองคนสุดท้าย ทางกรมการขนส่งทางบกจึงยังไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงโอนทะเบียน เพราะต้องตรวจสอบย้อนหลังที่มาว่ามีใครเคยเป็นผู้ครอบครองบ้าง

พล.ต.ต.อำนาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการซื้อรถคันดังกล่าว มาริโอ้ เคยบอกว่า ทั้งตนเองและรุ่นพี่ก็โดนหลอกเช่นกัน เบื้องต้นทราบเพียงว่าเป็นการปลอมแปลงข้อมูลรถมาจากต้นขั้ว ซึ่งตนไม่ทราบรายละเอียดมากนัก เมื่อไม่ได้รถรุ่นพี่ก็คืนเงินให้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตน ก่อนซื้อรถทุกครั้งก็จะตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้มีปัญหา โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนก่อน ซื้อรถราคาล้านกว่าบาท เห็นว่ามีเอกสารถูกต้องก็ไม่คิดว่ารถจะมีปัญหาอะไร ทำให้หลังจากนี้จะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม

ทั้งนี้รถคันดังกล่าวในราคาตลาดมีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านบาท การซื้อขายระหว่างมาริโอ้และนายก้อง อยู่ในราคา 1,500,000 บาทนั้น จะเป็นการขายต่ำกว่าตลาดหรือไม่ ทาง พล.ต.ต.อำนาจ มองว่าเรื่องนี้เป็นความพึงพอใจของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย จึงไม่น่ามีผลอะไรกับทางคดี แต่จะเข้าข่ายเป็นการจดทะเบียนประกอบรถยนต์โบราณหรือไม่ เรื่องนี้จะต้องขยายผลตรวจสอบจะพยานหลักฐานและจากการให้ปากคำอีกครั้ง

หลังจากนี้ พนักงานสอบสวนจะนำข้อมูลการให้ปากคำของมาริโอ้ นายก้องและพี่ชายของนายก้อง มาตรวจสอบเปรียบเทียบร่วมกับคำให้การของผู้ครอบครองรถรายอื่น ๆ เพื่อหาความน่าเชื่อถือและวิเคราะห์ขยายผลทางคดีต่อไป ว่าใครมีส่วนรู้ร่วมเห็นกับการกระทำความผิดหรือไม่ หากพบก็จะดำเนินคดีต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีของมาริโอ้ ว่าจะเข้าข่ายความผิดฐานรับซื้อของโจรหรือไม่ ‘พล.ต.ต.อำนาจ’ ระบุว่า ยังไม่เข้าข่าย เพราะมาริโอ้ยืนยันว่าไม่รับรู้มาก่อนว่ารถคันนี้มาจากการกระทำความผิด แต่ยังไงก็ตามทางพนักงานสอบสวนก็ต้องเปรียบเทียบคำให้การของมาริโอ้กับนายก้องและพี่ชายนายก้อง ก่อนจะวิเคราะห์หาความน่าเชื่อถือโดยละเอียดอีกครั้ง

ส่วนเรื่องการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ทางมาริโอ้ได้พูดคุยกับตำรวจเบื้องต้นแล้ว เพราะมาริโอ้เองมองว่า ตนก็เป็นผู้เสียหายที่ซื้อรถแต่ไม่ได้รถ อย่างไรก็ตามมาริโอ้จะประสงค์แจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกงเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของมาริโอ้ ส่วนผู้ครอบครองรถรายอื่นยังไม่มีใครประสงค์แจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกงเช่นกัน

สำหรับกรณีดังกล่าว ก่อนหน้านี้ตำรวจ บช.สอท. และกรมการขนส่งทางบก ได้เปิดปฏิบัติการพลิกถนนล่ารหัสโจรกรรม จับกุม 2 ตัวการใหญ่ คือ นายเสถียร เรืองสมุทร อายุ 38 ปี และนายศริสร สุทธิเจต อายุ 44 ปี ที่เจาะระบบกรมการขนส่งทางบก แก้ไขข้อมูลสวมทะเบียนรถ เพื่อให้ข้อมูลในระบบMDM ของกรมการขนส่งทางบก ตรงกับข้อมูลรถที่ครอบครอง และข้อมูลในเล่มทะเบียนรถ ก่อนออกเล่มทะเบียนใหม่เพื่อนำไปขายต่อให้กับกลุ่มนิยมสะสมรถโบราณ ในราคาเล่มละ 5 แสนบาท ถึง 3 ล้านบาท

จากนั้นได้ขยายผลไปยังบรรดาผู้ซื้อและครอบครองรถยนต์ทั้ง 65 คัน มูลค่า 77 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในทะเบียนรถของกลางที่ยึดมาได้นั้นตรวจพบว่ามี มาริโอ้ เมาเร่อ ดารานักแสดงชื่อดัง มีชื่อครอบครองทะเบียนรถ Benz G300 สีขาวพนักงานสอบสวน บช.สอท. จึงได้ออกหมายเรียกให้นายมาริโอ้ มาให้ปากคำในฐานะพยาน



รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/QU1lOP4lwik

คุณอาจสนใจ