เศรษฐกิจ
รองประธานสภาองค์กรนายจ้างฯ ชี้ สหรัฐฯ ขึ้นภาษีไทย 36% กระทบแรงงานเสี่ยงตกงาน 20 ล้านคน
9 ก.ค. 2568
345 views
รองประธานสภาองค์กรนายจ้างฯ เผยหลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเก็บภาษีไทย 36% กระทบแรงงานกว่า 20 ล้านคน หวังทีมไทยเร่งเจรจาดีลใหม่ ก่อนเส้นตาย 1 ส.ค.นี้
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์กรนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยถึงมาตรการภาษีตอบโต้ หรือ “Reciprocal Tariff” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกเก็บจากไทยในอัตรา 36% ถือเป็น “สถานการณ์เลวร้ายที่สุด” (Worst-Case Scenario) จ่อสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างและรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ โดยเฉพาะภาคแรงงานในโซ่อุปทานส่งออกกว่า 20 ล้านคน แนะทีมเจรจาไทยต้องเร่งหาดีลใหม่ก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคมนี้
สำหรับการประกาศของสหรัฐครั้งนี้ ถือเป็นการยืนยันอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจาก 14 ประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้า โดยไทยถูกกำหนดอัตราไว้ที่ 36% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน (หากไม่นับ ลาว, เมียนมา, กัมพูชา) และสูงกว่าคู่แข่งสำคัญอย่าง เวียดนาม ซึ่งถูกเก็บในอัตราเพียง 20% อย่างมีนัยสำคัญ
อัตราภาษีระดับนี้ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยหายไปทันที ผู้นำเข้าในสหรัฐฯ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรับพอร์ตไปสั่งซื้อสินค้าจากประเทศที่ต้นทุนภาษีต่ำกว่าอย่างเวียดนาม คาดว่าคำสั่งซื้อสินค้าจากไทยจะเริ่มลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป
พร้อมย้ำว่า ภาคส่งออกคือหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของไทย โดยมีสัดส่วนใน GDP สูงถึง 57% และสหรัฐอเมริกาคือตลาดส่งออกอันดับหนึ่งที่มีสัดส่วนถึง 19.61% (ข้อมูล ม.ค.-พ.ค. 68) การถูกกำแพงภาษี 36% จึงไม่กระทบเพียงผู้ส่งออก แต่จะลุกลามเป็นโดมิโน เอฟเฟกต์ ไปทั้งโซ่อุปทาน
โดยผลกระทบทางตรง เช่น อุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯสูง เช่น คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน, ผลิตภัณฑ์ยาง, ยานยนต์และชิ้นส่วน, เครื่องปรับอากาศ, อัญมณี, เหล็ก, พลาสติก และอาหารแปรรูป จะต้องลดกำลังการผลิตลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลกระทบทางอ้อม: ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับภาคส่งออกจะได้รับผลกระทบทั้งหมด ตั้งแต่ อุตสาหกรรมวัตถุดิบ, บรรจุภัณฑ์, ภาคบริการโลจิสติกส์ (เรือ, รถบรรทุก, คลังสินค้า) ไปจนถึงภาคเกษตรกรรม ที่เป็นแหล่งวัตถุดิบ
ส่วนผลกระทบต่อภาคแรงงานและสังคม ประเมินว่าแรงงานราว 18-20 ล้านคน ที่อยู่ในโซ่อุปทานนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียตำแหน่งงาน เมื่อการผลิตลดลงจะนำไปสู่การเลิกจ้าง แรงงานที่ตกงานหรือรายได้ลดลงจะทำให้กำลังซื้อของประเทศหดตัวอย่างรุนแรง กระทบต่อไปยังภาคค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และท้ายที่สุดจะซ้ำเติมปัญหาสภาพคล่องของธุรกิจและหนี้เสีย (NPL) ในระบบสถาบันการเงิน
นอกจากนี้เห็นว่า การเจรจาที่ผ่านมาซึ่งทีมไทยคาดหวังผลแบบ “Win-Win” เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะท่าทีของทรัมป์คือการใช้ปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่ต้องการการต่อรอง แต่ต้องการข้อเสนอที่น่าพอใจที่สุดสำหรับสหรัฐฯ เท่านั้น
ทีมเจรจาไทยต้องทำงานหนักกว่าเดิม ไม่ใช่แค่บอกว่า ‘เสนอไปแล้ว’ แต่ต้องมีการล็อบบี้อย่างเข้มข้นเพื่อหาทางลดอัตราภาษีลงมาให้ใกล้เคียงกับเวียดนามให้ได้
ขณะเดียวกันได้เรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องประเมินสถานการณ์อย่างจริงจังว่า หากการส่งออกไปสหรัฐฯ หายไปครึ่งหนึ่ง เศรษฐกิจไทยจะรับมืออย่างไร และจะมีมาตรการช่วยเหลือภาคแรงงานและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างไร โดยสำนักพยากรณ์เศรษฐกิจภาคเอกชนประเมินเบื้องต้นว่า หากอัตราภาษีคงอยู่ที่ 36% เศรษฐกิจไทยปีนี้อาจขยายตัวได้เพียง 1% หรือต่ำกว่า
อย่างไรก็ตาม นายธนิต ระบุว่า จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ ที่ประชุมสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ และจะเรียกประชุมกลุ่มผู้ส่งออกและธุรกิจในโซ่อุปทานทั้งหมด เพื่อประเมินผลกระทบและหาแนวทางรับมือร่วมกัน คาดว่าจะจัดประชุมได้ภายในสัปดาห์ที่สามของเดือนนี้
แท็กที่เกี่ยวข้อง ข่าวเศรษฐกิจ ,กำแพงภาษีสหรัฐฯ