เศรษฐกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ ครัวเรือนไทยชะลอการก่อหนี้ก้อนใหญ่ สะท้อนกังวลเศรษฐกิจ-รายได้ไม่แน่นอน

โดย kanyapak_w

3 ต.ค. 2565

18 views

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับทบทวนประมาณการสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลงมาที่กรอบ 85.0-87.0% จากคาดการณ์เดิมที่ 86.5-88.5% ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับสัดส่วน 90.1% ต่อจีดีพีในปี 2564 เนื่องจากมูลค่าจีดีพี เติบโตสูงตามภาวะเงินเฟ้อ ประกอบกับครัวเรือนหลายๆ ส่วนระมัดระวังการก่อหนี้ก้อนใหม่



ทั้งนี้ แม้ว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในปี 2565 นี้อาจจะชะลอลง แต่ก็มีเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในหลายประเด็น อาทิ การที่ครัวเรือนหลายส่วนพึ่งพาสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงมาเสริมสภาพคล่องระยะสั้น และยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนในภาพรวมที่ยังคงทยอยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะสะท้อนข้อจำกัดในการบริโภคของภาคเอกชนแล้ว ยังสะท้อนถึงความเปราะบางของฐานะทางการเงินของประชาชนและครัวเรือนรายย่อยในยุคที่อัตราดอกเบี้ยของไทยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่จังหวะขาขึ้นด้วยเช่นกัน



สำหรับยอดหนี้คงค้างหนี้ครัวเรือนไตรมาส 2/2565 เติบโตในอัตราที่ชะลอลง โดยรายงานของ ธปท.ล่าสุดระบุว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยขยับขึ้นมาที่ระดับ 14.76 ล้านล้านบาทในไตรมาส 2/2565 แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าเศรษฐกิจแล้ว สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ปรับตัวลงมาที่ระดับ 88.2% จากระดับ 89.2% ต่อจีดีพีในไตรมาส 1/2565 นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หนี้ครัวเรือนเติบโตเพียง 3.5 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 18 ปี และชะลอลงเมื่อเทียบกับ 3.7% ในไตรมาสแรกของปี 2565



โดยหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในรูปหนี้บ้านและหนี้เพื่อการประกอบอาชีพ (สัดส่วนรวมกันประมาณ 53% ของหนี้ครัวเรือนในภาพรวม หรือประมาณ 46.5% ของจีดีพี) แต่ทั้งนี้หนี้รายย่อยก้อนใหญ่ เช่น หนี้บ้าน หนี้เพื่อประกอบอาชีพ และหนี้เช่าซื้อรถยนต์ มีอัตราการเติบโตที่ช้าลงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สะท้อนว่า ครัวเรือนมีการเพิ่มความระมัดระวังในการก่อหนี้ก้อนใหญ่ก้อนใหม่ในช่วงที่เศรษฐกิจและรายได้ของครัวเรือนยังมีความไม่แน่นอน หรือมีภาระหนี้เดิมอยู่ในระดับสูงและเริ่มมีข้อจำกัดในการก่อหนี้ใหม่ เพราะฐานะทางการเงินมีสัญญาณอ่อนแอลง



ในทางกลับกัน ประชาชนรายย่อยและภาคครัวเรือนมีหนี้สินที่อยู่ในรูปบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน มากขึ้น โดยสัดส่วนหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลขยับขึ้นมาที่ 8.2% ของหนี้ครัวเรือนรวมในไตรมาส 2/2565 (จาก 7.9% ในไตรมาสก่อนหน้า และ 7.7% ในไตรมาส 4/2562 ที่เป็นช่วงก่อนโควิด) ซึ่งสะท้อนว่า มีครัวเรือนจำนวนมากกู้ยืมผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อดังกล่าวเพื่อเสริมสภาพคล่องและแก้ไขปัญหาการเงินในระยะสั้นที่รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย



นอกจากนี้ผลสำรวจภาวะหนี้สินของภาคประชาชน ยังพบว่า ครัวเรือนเกือบทุกกลุ่มมีภาระหนี้สินอยู่ในระดับที่สูงกว่า 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน โดยค่าเฉลี่ย DSR ของครัวเรือนในผลสำรวจฯ อยู่ที่ระดับ 33.9%



สำหรับผลของทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ที่เริ่มทยอยปรับขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น จะไม่มีผลกระทบกับสินเชื่อที่อัตราดอกเบี้ยอิงกับเพดานอัตราดอกเบี้ยตามที่ทางการกำหนด เช่น สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 8.3% ของหนี้ครัวเรือน เพราะ ธนาคารพาณิชย์ต่างก็ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ในขนาดที่น้อยกว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) และอัตราดอกเบี้ยเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) และสำหรับในส่วนของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยนั้น หากขนาดการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่ใช้เป็นตัวอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงยังไม่เกิน 1% ก็น่าจะยังไม่กระทบต่อยอดภาระผ่อนต่อเดือนของผู้กู้สินเชื่อบ้าน



คุณอาจสนใจ

Related News