อาชญากรรม
เชิญดวงวิญญาณ 'สว.ศิว' ผู้การเต่าเผย ฟางเส้นสุดท้าย "กำนันสู้ผมไม่ได้" ชนวนเหตุ – ผกก.พญาไท ยันช่วยนำส่ง รพ.
16 ก.ย. 2566
1.5K views
‘ผู้การเต่า’ นิมนต์พระเชิญวิญญาณ ‘สารวัตรศิว’ นำรถตำรวจทางหลวงเปิดสัญญาณไฟยืนไว้อาลัย ระบุ “รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดแต่ไม่สามารถพูดได้” เผยคำพูดของสารวัตรศิว ที่พูดกับกำนันนก “กำนันสู้ผมไม่ได้” ด้าน ผกก.พญาไท ยืนยันช่วยสารวัตรศิว แจงสติแตกทุกคนรีบไป รพ. พร้อมเผยสารวัตแบงค์ไม่ได้เสียชีวิตทันที
วานนี้ (วันที่ 15 ก.ย.) ภายหลังพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ออกมาเปิดเผยข้อมูลจากกล้องวงจรปิดภายในสำนักงานของกำนันนก ซึ่งพบว่ามีตำรวจบางนายให้ปากคำไม่ตรงกับภาพวงจรปิดหลายนาย และมีตำรวจบางนายไม่เข้าช่วยเหลือสารวัตรแบงค์โดยทันที แต่กลับช่วยเหลือกำนันนกก่อน และพบว่ามีการพบอาวุธปืน
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียก พ.ต.อ.กฤษฎาพร จงอักษร ผกก.สน.พญาไท มาสอบสวนเพิ่มเติมอีกครั้ง เพราะจากการสอบปากคำในครั้งที่ผ่านๆ มามีบ้างจุดให้การไม่ตรงกับหลักฐานจากกล้องวงจรปิด
โดยเมื่อพ.ต.อ.กฤษฎาพร ผกก.สน.พญาไท เดินทางมาถึงศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 7 เมื่อพบผู้สื่อข่าว พ.ต.อ.กฤษฎาพร รีบใส่หน้ากากอนามัยเพื่อปิดบังใบหน้า แล้วเข้าห้องสอบสวนทันที
ต่อมาทีมข่าวสอบถาม พ.ต.อ.กฤษฎาพร ทราบว่า โดยพ.ต.อ.กฤษฎาพร ยืนยันว่า ตนไม่ได้โกหก ในวันเกิดเหตุ หลังจากเสียงปืนดังขึ้น สารวัตรแยบงค์ล้มลง ตนนั้น พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ และผู้บังคับบัญชาของสารวัตรแบงค์ ทุกคนสติแตก ไม่สามารถสั่งการอะไรได้ ตนจึงเป็นคนสั่งการเองให้ลูกน้องนำตัวสารวัตรแบงค์ ขึ้นรถโตโยต้า แครมรี ซึ่งพลขับเป็นลูกน้องของตน ไปส่งโรงพยาบาล และตนขับรถตามมา และเหตุที่ตนมาช้าเพราะรถของตนเลี้ยวผิดไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งจึงทำให้มาช้ากว่าคนอื่น ตนขอยืนยันว่าตนไป รพ.เหมือนกัน ตามหลักฐานจากกล้องวงจรปิด
พ.ต.อ.กฤษฎาพร เปิดเผยอีกว่า หลังจากที่สารวัตรแบงค์ถูกยิงแล้ว ยังไม่เสียชีวิตโดยทันที และเมื่อนำตัวสารวัตรแบงค์มาถึงที่โรงพยาบาลสารวัตแบงค์ก็ยังมีสติดีอยู่ ยังพูดได้แต่พอเข้ารับการรักษาได้ 2 ชั่วโมง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเข้ามาแจ้งตนว่า สารวัตรแบงค์เสียชีวิตแล้ว โดยขณะนั้นมีตำรวจเข้ามาติดตามสถานการณ์ที่ห้องฉุกเฉิน 8-9 นายตามภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งในขณะนั้นตนได้สั่งให้ลูกน้อง 1 คน กลับมาดูที่เกิดเหตุ โดยตนยืนยันตามคำให้การไปหมดแล้ว
ทั้งนี้ข้อมูลช่วงเวลาการเสียชีวิตของสารวัตรแบงค์ที่พ.ต.อ.กฤษฎาพร เปิดเผยออกมา ไม่ตรงกับข้อมูลที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ออกมาเปิดเผยเมื่อคืนวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา เพราะพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า สารวัตรแบงค์เสียชีวิตตั้งแต่ถูกยิงนัดแรก ที่สำนักงานกำนันนกแล้ว
--------------------------------------------
ขณะที่ วานนี้ (15 ก.ย.) เวลา 15.20 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (รรท.ผบก.ทล.) เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุสำนักงานของนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือกำนันนก พร้อมกับนิมนต์พระสงฆ์ 1 รูป มาทำพิธีเชิญวิญญาณ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สารวัตรตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง หรือสารวัตรศิว
โดย พล ต.ต.จรูญเกียรติ ได้นำตำรวจทางหลวง พร้อมด้วยรถสายตรวจ จำนวน 9 คัน มาจอดที่หน้าสำนักงานของกำนันนก ที่เป็นจุดเกิดเหตุ การเสียชีวิตของ พ.ต.ต. ศิวกร หรือสารวัตรศิว และทำให้ พ.ต.อ. วชิรา ยาวไทยสงค์ หรือผู้กำกับเบิ้ม ผกก.2 บก.ทล. ก่อเหตุอัตวิบากกรรม เสียชีวิตที่บ้านพักส่วนตัว
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ได้นิมนต์พระสงฆ์มาพรมน้ำมนต์เพื่ออัญเชิญดวงวิญญาณของลูกน้องทั้ง 2 คน จากนั้นได้เปิดสัญญาณไฟสายตรวจของรถและยืนไว้อาลัยเป็นเวลา 30 วินาที ซึ่ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ได้เชิญดวงวิญญาณของสารวัตรศิว และผู้กำกับเบิ้มขึ้นรถประจำตำแหน่งของตัวเอง (2ขห3701) เพื่อพากลับไปยังครอบครัว
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นธรรมเนียมหลังจากได้รับการสูญเสีย ในวันนี้ได้มาเชิญดวงวิญญาณของสารวัตรแบงค์ และผู้กำกับเบิ้ม ซึ่งถือว่าตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นปฐมบทของการสูญเสีย ในแผ่นดินนี้ โดยสามารถเรียกทั้งคู่ให้กลับไป ให้ดวงวิญญาณท่านไปสู่สุคติ ให้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี ให้ไปสถิตในดวงใจข้าราชการตำรวจทางหลวงทุกคน ให้ดูแลรับใช้พี่น้องประชาชนทุกคน ให้เป็นขวัญและกำลังใจ คืนองค์กรของตำรวจทางหลวง ให้เป็นที่เชื่อมั่นของพี่น้องประชาชน และดวงวิญญาณทั้งหลายให้กลับไปสู่สิ่งที่ตนเองรัก บ้านตัวเอง พ่อแม่ตัวเอง ลูกตัวเอง
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ น้ำตาคลอกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ตนมองว่าการทำงานของสารวัตรศิว เป็นการทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาจนวาระสุดท้ายของชีวิต และสิ่งที่ได้ทำไปก็เกิดความสูญเสีย ผู้กำกับเบิ้ม ซึ่งเป็นพี่ ที่ได้เรียกสารวัตรศิวมาในวันเกิดเหตุ ก็ได้แสดงความรับผิดชอบโดยเอาชีวิตตัวเองถวาย ในสิ่งที่โทษตัวเองว่าเป็นผู้กระทำให้สารวัตรศิวเสียชีวิต
“โดยต้องยอมรับว่าเขาทั้งคู่มีความรับผิดชอบ มีความรักกันระหว่างพี่น้อง มีเลือดของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เต็มอก เหลือสีเลือดหมูคงไม่จืดจางเพราะต่างรักษาสิ่งนี้ไว้ พวกเราในฐานะตำรวจทางหลวง ก็จะนำดวงวิญญาณทั้งหลายใส่ไปในหัวใจ ใส่ลงไปในอาร์มของทางหลวง ว่าเป็นตำรวจที่ดีพิทักษ์รับใช้พี่น้องประชาชน และองค์กรไหนที่จะทำให้เกิดสิ่งไม่ดี จะขจัดปัดเป่า และทวงความเป็นธรรมให้กับข้าราชการตำรวจทางหลวงทุกคน ที่ส่งผลกระทบกับเรื่องนี้”
“ทั้งนี้ตนเชื่อว่าทุกคนหดหู่ โดยครั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง พร้อมชุดเฉพาะกิจของผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้วิสามัญ นายหน่อง มือยิง ตอนนั้นตำรวจทางหลวงก็เป็นผู้ได้ต่อสู้ ยิงกับผู้ร้ายจนเสียชีวิต ขวัญและกำลังใจในการกู้คืนศักดิ์ศรีของตำรวจทางหลวงและตำรวจทั่วประเทศ แม้แต่ข้าราชการตำรวจที่เกษียณไปแล้ว ก็เริ่มกลับมา แต่เมื่อมีการสูญเสียต่อ”
โดยผู้กำกับเบิ้ม ได้อัตตวิบากกรรมถึงชีวิต ก็นำมาซึ่งความหดหู่ของข้าราชการ ตนในฐานะผู้นำหน่วยและตัวแทนของผู้บังคับบัญชา ผู้บัญชาการระดับกรม / ตนเชื่อว่าตำรวจจะมีขวัญและกำลังใจ ชีวิตตำรวจไม่แน่นอน เดินออกจากบ้านแต่อาจจะไม่ได้กลับบ้าน / วันนี้จึงขอสดุดี โดยเอาข้าราชการตำรวจทางหลวงและรถตำรวจมาเรียกดวงวิญญาณกลับ
ในส่วนที่การเสียชีวิตของตำรวจทั้ง 2 นาย นั้นนำไปสู่การขุดคุ้ยประเด็นต่าง ๆ มากมายนั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า “ทั้งสองคนทำหน้าที่ตัวเองจนนาทีสุดท้าย ส่วนพี่เบิ้มได้แสดงความรับผิดชอบ และเป็นความรักของพี่ของน้อง ตรงนี้เชื่อว่าหายากในหมู่ประชาชนและข้าราชการทั่วไป ขอยอมรับในหัวใจของทั้งสองคน การดำเนินการในส่วนต่าง ๆ ขอให้เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ดำเนินการตามกฎหมาย แต่ให้ยึดในกระบวนการของกฎหมาย ข้อเท็จจริง”
โดยขอเรียกร้องให้หัวหน้าหน่วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สื่อมวลชน พี่น้องประชาชนที่เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ ขอให้ถอยคนละก้าวหนึ่ง หากไม่ถอยความกดดันจะไปอยู่ที่ข้าราชการ ที่ยังไม่อยู่ในวงล้อมที่จะถูกต้องคดี จะมีเรื่องอื่น ๆ ตามมา
ในส่วนของที่เกิดเหตุมีการช่วยเหลืออย่างเต็มที่หรือไม่นั้น ระบุว่า “เลือดของสารวัตรศิวที่ติดกับตำรวจประมาณ 8-9 คน รถ 4 คัน ที่เข้าไปช่วยเหลือ ตนเชื่อว่าเลือดพวกนี้ สารวัตรศิวต้องการบอกว่าได้ชำระล้างและเป็นหลักฐานให้ผู้ที่ช่วยเหลือชีวิตเขา ต้องรอดพ้นจากข้อกฎหมายต่าง ๆ”
ในส่วนของการถอดปลั๊กกล้องวงจรปิด 2 ตัว ที่อยู่ภายในงาน ตนไม่มีข้อสงสัยอะไร ขอให้เป็นเรื่องของชุดสืบสวน ต้นดูอะไรดีทุกอย่างแต่ไม่สามารถพูดได้ เรื่องที่จะมีการวางแผนฆ่าคงไม่มี ตรวจดูอะไรดีทุกอย่างแต่พูดไม่ได้ ต้นรู้ทั้งหมดตามพยานหลักฐาน และสารวัตรศิวได้เดินมาในแนวทางที่ถูกต้องแล้ว
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า ตนเป็นคนไล่สอบสวนทุกคน ชุดทำงานสืบสวนติดตาม ผู้จัดการกล้องได้ติดตามตั้งแต่วันแรก ในส่วนของวอลรูมติดตาม ซึ่งได้เห็นอะไรบางอย่าง บางครั้งประเด็นของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และผู้ที่เกี่ยวข้อง บางครั้งออกมาในมุมมองอื่นที่อยากจะพูดเพื่อไม่ให้เกี่ยวข้องกับตัวเขา แต่การรับสารภาพหรือคำให้การ เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
ในส่วนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการพกอาวุธปืนเข้าไปในงาน และไม่ต่อสู้นั้น ตนไม่ทราบต้องไปถามชุดสืบสวน แต่หากเป็นต้องคิดว่าต้องมีทั้งคนพกและไม่พกปืน อยู่ในที่เกิดเหตุเสียงปืนเมื่อดังขึ้น 1 นัด จะบ่งบอกคนเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มที่ช่วยสารวัตรศิว และรองวศิน กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่ช่วยกำนันนก กลุ่มที่สามคือกลุ่มที่หลบหนี มีเท่านี้ ซึ่งประจักษ์พยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นนายตำรวจระดับผู้กำกับ และชั้นประทวนอีก 3-4 คน ที่ยังมีชีวิตอยู่
“ขอความเห็นใจว่า หากเราไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ จากไม่รู้ว่าชั่วโมงนั้นจะทำอะไร ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง เสียงปืนนัดแรกทุกคนต่างตะลึง บางคนหลบอยู่ใต้โต๊ะ บางคนทำอะไรอยู่ กว่าจะรู้ว่าสารวัตรศิวถูกยิงจนล้มลงนั้น การเจอเหตุการณ์เฉพาะหน้าต่างกัน บางคนมีภูมิต้านทานเยอะ ก็สามารถควบคุมสติได้ แต่บางคนก็ไม่มีตำรวจไม่ได้เก่งทุกคน เพราะฉะนั้นก็มีพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไปตามข้อมูล ของชุดสืบสวนที่ปรากฏออกมา”
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าว่า “ในส่วนของกลุ่มตำรวจที่เข้าไปช่วยฝั่งคนร้ายนั้น ถือว่าขาดจากการเป็นตำรวจแล้ว เลือดเปลี่ยนสีไปแล้วไม่ใช่สีเลือดหมู แต่เป็นเลือดเสีย ซึ่งชุดนี้ตนบอกกับชุดสืบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ‘เอาให้หนัก’ อย่าปล่อยไว้ โดยบอกว่า จะตอบแทนบุญคุณหรืออะไรไม่รู้ แต่ในเมื่อยังรับราชการตำรวจอยู่ สิ่งหนึ่งที่ต้องทำหลังจากได้ยินเสียงปืน คือต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ รักษากฎหมาย และต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ ใครกระทำความผิดก็ต้องดำเนินการขั้นตอนแรกให้เรียบร้อย ยึดอาวุธทั้งหมด ไม่ใช่ไปช่วยเขา”
แต่ในส่วนที่ไม่ยกปืนขึ้นสู้เพราะวุฒิภาวะของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากมี ผู้ที่เคยทำงานมานานหรือมีประสบการณ์มากในจุดเกิดเหตุ ตนเชื่อว่าจะมีการยิงต่อสู้แน่นอน เป็นนักข่าวหรือบุคคลทั่วไป หากได้ยินเสียงปืนก็ต้องหลบหรือหมอบเป็นธรรมดา เพราะ คนร้ายยังถืออาวุธปืนอยู่
ตนในฐานะรักษาการผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ตำรวจมีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรีในการทำงาน หากตอนนี้ไม่ทำอะไร ขวัญและกำลังใจจะไม่มี ตนบอก “ไอ้หน่อง” ไว้ว่า “พรากชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงไปได้ แต่ไม่สามารถพรากจิตและวิญญาณ ความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไปได้” กลุ่มคนเที่ยงมีชีวิตอยู่จะตามทวงความยุติธรรมให้กับทุกคน ด้วยสัตย์ของตนเอง
นอกจากนี้พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ยังบอกอีกว่าฟางเส้นสุดท้ายที่ก่อเหตุนั้นเป็นคำพูดของสารัทธ์สิวที่พูดกับกำนันนกว่า “ กำนันสู้ผมไม่ได้” ซึ่งเป็นประโยคหลังจากการดวลเหล้าแล้วหลังจากนั้นกำนันนกก็ย้ายไปนั่งที่โต๊ะจีนอีกฝั่ง จากนั้น 10 นาทีจึงเกิดเหตุยิงขึ้น
แท็กที่เกี่ยวข้อง กำนันนก ,ผู้การเต่า ,สารวัตรแบงค์ ,ยิงสารวัตรทางหลวง