อาชญากรรม

'อัจฉริยะ' ยื่นดีเอสไอ รับคดี 'แตงโม' เป็นคดีพิเศษ เชื่อเป็นฆาตกรรม

โดย passamon_a

30 เม.ย. 2565

41 views

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 29 เม.ย.65 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เดินทางมาที่กระทรวงยุติธรรม เพื่อยื่นหนังสือต่อ ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI รับสืบสวนคดีการเสียชีวิตของ แตงโม นิดา เป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเชื่อว่าคดีนี้เป็นคดีฆาตกรรมอำพราง ไม่ใช่การประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย


นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนมายื่นเอกสารเพื่อร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญากับ แซน วิศาพัช และพวก ในข้อหาร่วมกันฆาตกรรมอำพราง แตงโม นิดา และจะขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ รับคดีนี้เป็นคดีพิเศษโดยด่วน เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์ ที่มีบุคคลทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และตนสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรม ไม่ใช่การกระทำประมาท เนื่องจากมีพยานหลักฐานและผู้เชี่ยวชาญ ที่สามารถยืนยันได้ว่า คำพูดของแซนที่บอกว่าแตงโมจับขาตนเองแล้วตกท้ายเรือนั้นไม่เป็นความจริง


โดยไม่ปรากฏหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เช่น การตรวจสอบรอยนิ้วมือของแตงโมบนขาแซน เรื่องบาดแผลก็ไม่สามารถเข้ากันได้กับใบพัดเรือ แต่เกิดจากของมีคม ซึ่งมีพยานผู้เชี่ยวชาญที่สามารถยืนยันได้ เช่น แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ก็เคยให้สัมภาษณ์เช่นกันว่าจากบาดแผลที่เกิดขึ้น ไม่มีโอกาสที่จะตกจากท้ายเรือ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องทรายในมือของแตงโม ที่ตำรวจภูธรภาค 1 ไม่ได้ให้ความสำคัญ โดยในรองเท้าของคนบนเรือก็มีทรายอยู่เช่นกัน


นายอัจฉริยะ ยังได้เปิดเผยหลักฐานส่วนหนึ่งที่นำมายื่นให้กับกระทรวงยุติธรรม โดยโชว์ภาพบาดแผล ซึ่งระบุว่า เป็นภาพของกรณีในต่างประเทศที่เกิดบาดแผลจากการโดนใบพัดเรือ ซึ่งจะต้องมีลักษณะแผลเปิด และขอบแผลช้ำ โดยนายอัจฉริยะมีการรวบรวมมาหลายภาพหลายกรณีด้วย


นายอัจฉริยะ ยืนยันด้วยว่า สิ่งที่นำมายื่นต่อเจ้าพนักงานในวันนี้ ตนมีหลักฐานหลายชิ้น และมีผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยยืนยันได้ โดยหากไม่เป็นความจริง ตนจะขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย และสามารถฟ้องตนได้ แต่หากคดีนี้เป็นเรื่องฆาตกรรมจริง คนบนเรือจะต้องได้รับโทษมากขึ้น โดยเฉพาะ พลตำรวจตรี ต.เต่า ที่คอยช่วยเหลือคนบนเรือมาตลอด ซึ่งตนมีหลักฐานเป็นคลิปเสียง รวมทั้งมีบุคคลที่เป็นพยานได้ว่าคดีนี้ถูกแทรกแซงจริง


และฝากไปถึงคุณแม่ของแตงโม ด้วยว่า ไม่มีสิทธิมาห้ามตน เพราะคดีนี้เป็นอาญาแผ่นดิน และฝากบอกทนายความของคุณแม่ว่า ตนทำเพื่อแตงโม ไม่ได้ทำเพื่อแม่ และอยากให้เป็นตัวอย่างกับคดีต่อ ๆ ไปในอนาคต ให้เกิดความยุติธรม


ด้าน ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต เปิดเผยว่า หลังจากรับหนังสือแล้ว จะส่งให้ดีเอสไอ นำไปดำเนินการตามข้อสังเกตและพยานหลักฐานที่นายอัจฉริยะนำมามอบให้ ซึ่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ พันตำรวจโทพเยาว์ ทองเสน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานสืบสวนคดีแตงโมที่มีผู้มายื่นไว้ก่อนหน้านี้ ได้รับผิดชอบ ซึ่งจะมีการตั้งเลขสืบสวน แต่ยืนยันว่าไม่ได้ก้าวล่วงอำนาจพนักงานสอบสวน เพราะในส่วนสำนวนของตำรวจภูธรภาค 1 ก็ให้อัยการดำเนินต่อไปคู่ขนานกัน


และหากการสืบสวนพบว่า คดีนี้มีประเด็นใหม่เกี่ยวกับการฆาตกรรมจริงตามที่นายอัจฉริยะยื่นเรื่องมา คดีก็จะมีอายุความ 20 ปี ที่ดีเอสไอสามารถดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน และนำเข้าคณะกรรมการเพื่อพิจารณารับมาเป็นคดีพิเศษได้


อย่างไรก็ตาม การยื่นหนังสือของนายอัจฉริยะในวันนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องคดีความให้เป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม จากประมาทเป็นฆาตกรรม ดังนั้นนายอัจฉริยะเองก็ต้องพร้อมยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย เพราะสิ่งที่นำมายื่นวันนี้ ถือว่าได้ยื่นต่อเจ้าพนักงานแล้ว ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ


ขณะที่ พันตำรวจโทพเยาว์ ทองเสน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ที่ นางสาวรสนา โตสิตระกูล และ นายนิติธร ล้ำเหลือ ได้มายื่นให้ดีเอสไอรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ คณะสืบสวนได้ตรวจสอบเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว พบว่ายังไม่เข้าองค์ประกอบการเป็นคดีพิเศษ โดยเป็นมูลเดียวกันกับของตำรวจ


แต่กรณีที่นายอัจฉริยะมายื่นอีกครั้งในวันนี้ เป็นประเด็นใหม่ทางคดีที่ระบุว่าเป็นการฆาตกรรมซึ่งขัดแย้งกับตำรวจ จึงสามารถสืบสวนได้ ซึ่งหากพยานหลักฐานที่นายอัจฉริยะยื่นมาพบว่ามีมูลความจริง ก็จะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำเพิ่มเติม รวมถึงรวบรวมพยานหลักฐานตามประเด็นการร้องเรียนต่อไป


ช่วงหนึ่ง นายอัจฉริยะ ยังได้สอบถาม ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต ถึงเรื่องจำนวนบาดแผล ว่าในวันที่กระทรวงยุติธรรมแถลงผลการชันสูตรรอบ 2 บอกว่าพบบาดแผล 22 บาดแผล แต่ทำไมการแถลงของตำรวจล่าสุด จึงบอกว่ามี 26 บาดแผล ซึ่งว่าที่ร้อยตรีธนกฤต กล่าวว่า เอกสารของทางกระทรวงยุติธรรม ยืนยันได้ว่าในวันที่ผ่าชันสูตร มี 22 บาดแผล ซึ่งตนเป็นผู้ที่บอกให้แพทย์นับจำนวนบาดแผลและวัดรอยแผลให้ด้วย แต่การที่ตำรวจแถลงว่ามี 26 บาดแผลนั้น ตนเองก็ไม่ทราบและไม่สามารถตอบแทนได้


ส่วนบาดแผลใหญ่ที่ต้นขาขวา การตรวจของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ระบุถึงว่าเป็นแผลที่เกิดจากการถูกใบพัดเรือหรือไม่ แต่ระบุเพียงว่าเกิดจากวัตถุกึ่งมีคม และเกิดก่อนเสียชีวิต เพราะทางสถาบันฯ มีอำนาจการตรวจเฉพาะคำร้องขอจากญาติ และเป็นเพียงจิ๊กซอว์หนึ่งของการตรวจพิสูจน์เท่านั้น ส่วนพนักงานสอบสวนจะนำไปประกอบสำนวนหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ


ในเวลาเดียวกัน ทนายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย ก็ได้เดินทางมาที่กระทรวงยุติธรรมด้วยเช่นกัน โดยบอกว่า ได้นำหลักฐานต่าง ๆ มายื่นให้กระทรวงยุติธรรมเพื่อประกอบการสืบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งตนมองว่า คดีนี้มีข้อสงสัยหลาย ๆ อย่างที่ยังไม่กระจ่าง ถ้ามีการเริ่มใหม่อีกสักครั้ง ก็น่าจะโดนใจทุกคน และจากการที่ตำรวจนำภาพบาดแผลคนละเคสกันมาแถลง ก็ทำให้คิดได้ว่ามีการเข้าข้างฝ่ายผู้ต้องหาหรือไม่ เพราะการกระทำขั้นนี้ควรต้องมีการกลั่นกรองมาอย่างดีแล้วก่อนจะไปยื่นต่ออัยการ ซึ่งหากการติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อ ๆ ไปก็จะผิดตามทั้งหมด    


เมื่อถามว่า การออกมาเดินหน้ายื่นหลักฐานให้มีการสืบสวนคดีใหม่นั้น ได้มีฟีดแบ็คจากคุณแม่แตงโมให้หยุดการกระทำหรือไม่ ทนายกฤษณะ กล่าวว่า ตอนนี้ตนถือว่าไม่ได้อยู่ในสังกัดของคุณแม่แล้ว จึงต้องมั่นใจในตัวเอง และอะไรจะเกิดขึ้นตนก็พร้อมรับ หากมัวกล้า ๆ กลัว ๆ คงจะทำอะไรไม่ได้ และล่าสุด ตนก็ได้เสนอตัวเข้าไปเป็นทนายความในกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา ถูกแจ้งความแล้วด้วย


และหลังจากนี้ ตนอยากจะเปิดใจกับสื่อมวลชน เล่าว่าที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มทำคดีนี้ ตนต้องเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งการที่ถูกอีกฝ่ายด้อยค่า ตนก็ยอมรับ แต่วันนี้พร้อมเดินหน้าชน หากมีอะไรไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่ถือว่าตนทุบหม้อข้าวหม้อแกงแล้ว ถ้าทำไม่สำเร็จคงจะสู้หน้าสังคมไม่ได้ และขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ถ้ายังมีตน มีพรรคไทยศรีวิไลย์ และมีอัจฉริยะ ก็ให้สบายใจได้


รับชมทางยูทูบที่ :https://youtu.be/hZf6DK6YCLA

คุณอาจสนใจ

Related News