อาชญากรรม
กองปราบ นำทรัพย์สินเกือบ 60 ล้าน คืนวัดไร่ขิง ฝากเก็บรักษา ห้ามนำไปใช้
26 มิ.ย. 2568
178 views
ช่วงเช้าวันนี้ ที่วัดไร่ขิง ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ พร้อมด้วย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ , สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน , สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกันแถลงข่าวมอบของกลางที่ได้ทำการตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบในคดีวัดไร่ขิง คืนให้กับ รักษาการเจ้าอาวาสคนใหม่ เพื่อให้วัดเก็บรักษาของกลางระหว่างคดี ประกอบด้วย รถตู้ และรถเก๋ง รถกระบะ รวม 10คัน , วัตถุมงคล , เครื่องประดับ , โฉนดที่ดิน , สมุดบัญชีธนาคาร , สัญญาซื้อขายและของกลางรายอื่นๆรวม 17 รายการ มูลค่ารวม 58,670,000บาท
โดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระบุว่า ตำรวจได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ หลังจากนี้จะมีการตรวจสอบวัดอื่นๆเพิ่มเติม เพื่อให้ได้รับการแก้ไข ในลักษณะการทุจริตในเชิงพุทธพาณิชย์ ส่วนกลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดทรัพย์สิน รถจำนวน 10 คัน และทรัพย์สินอีกบางส่วน และเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ได้เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด เชียงใหม่ สุโขทัย มุกดาหาร และขอนแก่น พบเอกสาร และทรัพย์สินหลายรายการ ทั้งเป็นชื่อของ นางพชรพร หรือ เตย และญาติพี่น้อง ตำรวจจึงได้ตรวจยึดเอกสารทั้งหมด เพื่อให้เจ้าของมาชี้แจงทรัพย์สิน แต่เชื่อว่าทรัพย์สินทั้งหมดเป็นเงินวัดที่มอบให้กับ เตย และ พันจ่าเอกฉัตรชัย สองสามีภรรยา เพื่อไปสร้างอาณาจักร อีกส่วนเป็นโฉนดที่ดินที่เป็นชื่อของนายแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง และอีกส่วนเป็นทรัพย์สินของนางสาวอรัญวรรณ รวมทั้งหมด ที่ตรวจยึดได้ 150 ล้านบาท ยังไม่รวมที่ยังไม่ได้ความชัดเจนอีก เพราะยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติมทั้ง บ้าน อสังหาริมทรัพย์ และรถอีกกว่า 10 คัน ซึ่งจะต้องดำเนินการต่อในการตรวจยึดเพื่อนำทรัพย์สินมาคืนวัดทั้งหมด
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ย้ำว่า แนวทางการสืบสวนสอบสวน พบว่า ทรัพย์สินดังกล่าว เป็นทรัพย์สินที่ได้จากการโอนเงินจากทิดแย้ม ไปให้อรัญวรรณ แล้วไปซื้อทรัพย์สิน และเอาเงินวัดไปซื้อที่ดิน เลยยึดมาทั้งหมด และยังมีการนำเงินสดกว่า 60 ล้าน ไปให้เตย และฉัตรชัย แล้วทั้งสองเอาไปซื้อทรัพย์ จึงเชื่อว่า ทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้และนำมาฝากเก็บรักษาไว้วันนี้ เป็นทรัพย์สินที่เกิดจากการกระทำความผิด โดยผู้ต้องหาบางราย อย่าง ฉัตรชัย ว่าสารภาพเป็นเงินวัดบางส่วน แต่ผู้ต้องหาบางรายยังอ้างว่า เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการประกอบอาชีพ แม้จะมีการอ้างดังกล่าว แต่การสืบสวนแล้วพบว่า ผู้ต้องหาทุกรายไม่มีฐานานุรูป ในการประกอบอาชีพ ดังนั้นทรัพย์สินทั้งหมดจากการสืบสวนสอบสวน จึงเชื่อได้ว่า เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากเงินวัดแน่นอน
ดังนั้นจึงต้องนำทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ มาคืนให้กับวัดเพื่อให้วัดเก็บรักษาไว้ แต่ยังไม่ได้เป็นการคืนแบบ100% เพราะยังเป็นของกลางที่ยังต้องฝากเก็บรักษาไว้ก่อน ซึ่งทางวัดจึงยังไม่สามารถนำของกลางเหล่านี้นำไปใช้ได้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ร่วมกันมาดูแล เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความทรุดโทรม ซึ่งเมื่อเปลี่ยนผู้บริหารวัดแล้ว จะไม่มีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน โดยจะประสานกับตำรวจ สน.ท้องที่ เข้ามาช่วยดูแลด้วย
ขณะที่ นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการรักษาราชการสำนักพุทธฯ บอกว่า ตนเองเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเป็นสารตั้งต้นที่จะทำให้เจ้าอาวาส แต่ละวัดทั่วประเทศจะต้องปฏิบัติในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่วัด โดยจะต้องมีความรู้ในเรื่องระบบ และระเบียบ รวมทั้งบัญชีของวัด อีกทั้งจากเดิมจะต้องส่งรายงานเงินวัดให้กับสำนักพุทธฯประจำจังหวัด จาก 9 เดือน เป็น 12 เดือน โดยเรื่องเหล่านี้ หากเจ้าอาวาสกระทำความผิดก็จะมีโทษจากเบาไปหาหนัก ตั้งแต่ภาคทัณฑ์ จนถึงไล่ออก และจะต้องถูกดำเนินคดีอาญาด้วย โดยหลังจากนี้สำนักงานพระพุทธศาสนา จะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบวัดทั่วประเทศที่มีพฤติกรรมลักษณะเดียวกับกลุ่มผู้ต้องหา
ด้าน นายไพโรจน์ นิยมเดชา ผู้อำนวยการกลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว 2 ป.ป.ช. ระบุว่า เนื่องจาก นายแย้ม หรือทิตแย้ม เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ ป.ป.ช.มีอำนาจตรวจสอบความร่ำรวยผิดปกติได้ และส่งให้ ปปป. ดำเนินคดี โดยพบว่า ทิดแย้ม มีทรัพย์สินจำนวนมาก ที่ถ่ายโอนไปให้คนอื่น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในข้อหา ตามอำนาจของ ป.ป.ช. คือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ จึงได้มีการนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาในข้อหานี้ด้วย
และ นายคณพศ หงสาวรางกูร ผู้ตรวจเงินแผ่นดินภาค 3 ตัวแทน สตง. บอกด้วยว่า สตง.ได้มีการนำเสนอรายงานและให้คำแนะนำกับเจ้าอาวาส โดยเจ้าอาวาสได้มีการตั้งคณะกรรมขึ้นมาตรวจสอบ เพื่อความมั่นใจว่าวัดได้มีการปรับปรุงการบริหารจัดการไม่ให้ศรัทธาของประชาชนชนเสื่อมถอยไป โดยผู้ว่าการ สตง. ได้สั่งการว่า ในฐานะผู้ตรวจสอบ จะเข้ามาตรวจสอบเป็นช่วงๆและให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้คำแนะนำคณะกรรมการของวัด เพื่อให้เกิดความยั่งยืนด้วย
ส่วน พระราชวชิรสุตาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง บอกด้วยว่า ระบบการดูแลทรัพย์สินที่ตำรวจนำมาฝากเก็บรักษา จะขอหารือกับเจ้าหน้าที่ก่อนในการดูแลรักษา ซึ่งทางวัดมีสถานที่เก็บและมีคณะกรรมการของทางวัด ที่วัดตั้งขึ้นเป็นระบบคณะกรรมการทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส โดยจะมีการประสานกับเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว มีระบบอยู่แล้ว และไม่ได้หนักใจอะไร ในการดูแลทรัพย์สินของทางวัด เพราะขณะนี้มีการตั้งคณะกรรมการอย่างเป็นระบบทั้งหมดแล้ว ส่วนแนวทางในการเรียกศรัทธาของประชาชน ก็มั่นใจในพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ที่เป็นครูพระนักพัฒนา อยู่คู่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ประจำวัด จึงเชื่อว่าจะไม่กระทบกับความศรัทธาของประชาชน และจะทำให้ศรัทธาคนจะกลับมาปกติได้ เพราะทุกวันนี้คนก็เริ่มกลับมาปกติ
ขณะเดียวกันวันนี้ ทาง ตำรวจสอบสวนกลาง ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. พร้อมข้าราชการและประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครปฐม ได้ร่วมกันทำกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญประโยชน์และบำเพ็ญสาธารณกุศล ที่วัดไร่ขิง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล สมเด็จพระเจ้านางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี วันที่ 3 มิถุนายน 2568
แท็กที่เกี่ยวข้อง วัดไร่ขิง ,กองปราบ