อาชญากรรม

แม่-พี่สาวติดตามคดีเด็กเอนฯโดนบังคับอัพยาเสียชีวิต เผยมี ตร.เสนอเงินเยียวยา 5 แสน ขอจบเรื่อง

โดย chutikan_o

16 ก.พ. 2568

624 views

แม่-พี่สาวเดินทางมา สน.โชคชัย ติดตามคดีเด็กเอนฯโดนบังคับอัพยาเสียชีวิต เผยมี ตร.เสนอเงินเยียวยา 5 แสนจบเรื่อง ซ้ำพบโมเดลลิงมีแฟนเป็นตำรวจ มั่นใจผู้ตายไม่ได้เสพยาเสพติด

เวลา 11.30 น. แม่และพี่สาวของ น.ส.ไอรดา เด็กเอนฯ ที่โดนบังคับอัพยาจนช็อกเสียชีวิต ได้เดินทางจาก จ.ร้อยเอ็ด เข้ามายัง สน.โชคชัย เพื่อติดตามความคืบหน้าของการเสียชีวิตของ น.ส.ไอรดา โดยทันทีที่มาถึง ปรากฏว่าแม่เกิดอาการไม่ค่อยสบายและคล้ายจะเป็นลม จึงได้พาตัวแม่ของ น.ส.ไอรดา ไปพักในห้องรับแจ้งความ โดยให้พี่สาวของ น.ส.ไอรดา เป็นผู้ให้ข่าวแทน

พี่สาวของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า เธอและครอบครัวเพิ่งทราบว่าน้องรับงานแบบนี้ตอนที่ตํารวจโทรมาแจ้งว่าพบศพ ซึ่งที่ผ่านมารู้ว่าน้องทํางานประจําอยู่ที่บริษัทขนส่งแห่งหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นงานพาร์ทไทม์ โดยน้องมีปัญหาส่วนตัวและได้เลิกกับแฟนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 จากนั้นได้ย้ายมาอยู่คนเดียวที่หอและมีการโทรมาขอเงินที่บ้าน บอกว่าจะนําไปจ่ายค่าหอแต่ทางบ้านไม่มีให้ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่าน้องรับงานนี้เป็นครั้งแรก เพราะก่อนเสียชีวิตน้องอยู่กับตนที่ จ.ร้อยเอ็ด และไม่มีอาการของคนติดยาหรือพูดถึงงานดังกล่าว รวมถึงที่ผ่านมาก็ไม่มีพฤติกรรมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด

คืนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 01.30 น. น้องบอกกับแฟนคนปัจจุบันว่าจะออกไปทํางาน แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นงานอะไร โดยมีรถมารับน้องออกจากหอพักแห่งหนึ่งภายในซอยลาดพร้าว 107 สำหรับส่วนตัวชื่อว่าน่าจะมีการพูดคุยกัน แต่ตนยังไม่ได้มีการพูดคุยกับแฟนของน้องแต่อย่างใด ซึ่งแฟนของน้องก็เพิ่งมาทราบหลังจากที่น้องเสียชีวิตแล้วว่าน้องทำงานดังกล่าว

สำหรับเหตุผลที่ครอบครัวรีบทําพิธีฌาปนกิจศพที่วัดบึงทองหลางนั้น เนื่องจากไม่มีงบ จึงได้ไปกู้ยืมมาจัดงานศพ กอปรกับทางวัดได้ช่วยเหลือบางส่วน เลยได้จัดงานศพให้น้องเพียงวันเดียวและฌาปนกิจไปเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

เมื่อถามว่าครอบครัวยังติดใจสาเหตุการเสียชีวิตหรือไม่ ทางพี่สาวระบุว่า ติดใจตรงที่เพื่อนน้องบอกว่าน้องไม่เคยเล่นยาหรือรับงานแบบนี้มาก่อน แต่ครอบครัวไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันว่าน้องไม่เล่นยา เพราะหลักฐานทั้งหมดอยู่ในห้องเกิดเหตุและอยู่ตํารวจทั้งหมด เบื้องต้นอยากได้หลักฐานของน้องคืนทั้งหมด เช่น โทรศัพท์มือถือ ซึ่งเคยขอไปแล้ว แต่ทางตํารวจแจ้งว่ายังให้ไม่ได้ ต้องรอคดีสิ้นสุดก่อน

นอกจากนี้พี่สาวของผู้เสียชีวิตยอมรับว่า มีการประสานจะเยียวยาให้ครอบครัวเพื่อจบเรื่อง โดยรอบแรกเป็นโมเดลลิงคนที่ 1 ซึ่งเป็นคนที่ส่งงานให้น้องตลอด โทรติดต่อมาบอกว่า ทางฝ่ายชายต้องการเยียวยาค่าทําศพ 100,000 บาท แต่โมเดลลิงคนแรกก็แนะนําให้เรียกเพิ่ม ซึ่งฝ่ายชายจะส่งทนายมาเป็นตัวแทนเจรจา แต่ตนเองก็ยังไม่ตอบกลับอะไร จากนั้นมีโมเดลลิงที่สองซึ่งเป็นคนที่รับงานจากคนจีนคนนี้ ติดต่อมาอีกในข้อเสนอเดิม แต่เพิ่มเป็น 200,000 บาท ซึ่งตนยังไม่ได้ตอบรับข้อเสนอและยังไม่ได้รับเงินแม้แต่บาทเดียว

พี่สาวของผู้เสียชีวิตยังกล่าวอีกว่า มีตํารวจพูดถึงเรื่องเงินเยียวยาทํานองว่า มีให้เลือก 2 ทาง คือ ให้รับเงินเยียวยา โดยตํารวจจะเป็นตัวกลางเสนอที่ 500,000 บาท หรือจะไม่รับการเยียวยาแล้วไปสู้ในชั้นศาล แต่น้องที่เสียชีวิตเป็นคนรับงานเอง ก็ถือว่ามีส่วนผิด อีกฝั่งอาจจะไม่ต้องเยียวยาก็ได้ ต่อให้สู้ก็ไม่มีสิทธิที่จะชนะคดี ซึ่งแนวทางที่ 2 นั้น เธอรู้สึกไม่โอเคเพราะเป็นห่วงสามารถเห็นใจของครอบครัว จึงยอมรับว่าตอนนั้นเลือกแนวทางแรก เพราะอย่างน้อยยังได้เงินเยียวยาดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

ทั้งนี้เพิ่งทราบเมื่อวานว่า โมเดลลิงคนที่ติดต่องานให้คนจีน มีแฟนเป็นตํารวจและรู้จักกับตํารวจที่รับเรื่องคดี จึงรู้สึกแปลก ๆ เพราะเรื่องเงียบ เลยเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และกังวลเนื่องจากคนจีนผู้ก่อเหตุเป็นคนที่มีฐานะรวย ถึงขนาดเปิดห้องได้ 100,000 บาทต่อคืน ทําให้วันนี้ตนออกมาเพื่อจะสู้และยืนยันจะดําเนินคดีจนถึงที่สุดเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้องสาว จะได้เงินหรือไม่ตอนนี้ก็ไม่สำคัญแล้ว รวมทั้งตอนนี้อยากให้โมเดลลิงคนที่ติดต่องานให้คนจีนและตื้อให้น้องรับงานมาพูดคุยเพื่อพูดคุยแสดงความรับผิดชอบและนำพยานหลักฐานมามอบให้เพื่อเป็นการช่วยเหลือน้อง เพราะเขาอ้างว่าตอนนี้ได้ลบแชทที่พูดคุยกับน้องทิ้งหมดแล้ว ซึ่งพี่สาวยังพูดทิ้งท้ายว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ จะไม่ให้น้องทำงานดังกล่าว

ด้านแม่ของ น.ส.ไอรดา ซึ่งได้เข้ามานั่งพักภายในห้องรับแจ้งความเนื่องจากมีอาการคล้ายจะเป็นลม ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนหลังจากที่อาการดีขึ้นแล้ว โดยระบุว่า ในวันที่น้องเสียชีวิต สามีได้รับโทรศัพท์จากตำรวจช่วงประมาณ 9 โมง ระบุว่า น้องเสียชีวิตแล้วที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โดยยังไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งตอนที่ได้ยินครั้งแรกตนก็ไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

ทั้งนี้มีเพื่อนของลูกสาวที่เข้าไปดูศพ บอกว่าลูก Overdose หรือเสพยาเกินขนาดเสียชีวิต ซึ่งตนเองไม่ปักใจเชื่อ จึงได้โทรหาเพื่อนของลูกสาวอีกคนหนึ้ง ซึ่งเขาก็ยืนยันว่า ลูกสาวไม่ได้เสพยาเสพติดอย่างแน่นอน นั่นจึงทำให้ตนมั่นใจได้อย่างแน่นอนว่าตอนนั้น ลูกสาวตนเองไม่เคยเสพยาเสพติดหรือรับงานเพื่อยาเสพติด

คุณแม่ยอมรับว่า ตนยังไม่ปักใจเชื่อแม้ว่าทางตำรวจจะส่งภาพถ่ายมาให้ จนกระทั่งได้ติดต่อที่นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ก็ทราบว่าน้องเสียชีวิตจริง จึงได้พาเดินทางเข้ามาที่กรุงเทพเพื่อมารับศพน้องไปบำเพ็ญกุศล โดยได้มารับใบแจ้งตายที่ สน.โชคชัย ก่อน ซึ่งในตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าลูกสาวเสียชีวิตจากสาเหตุอะไร

ทั้งนี้ในระหว่างที่อยู่ที่ สน.โชคชัย ก็ทราบว่าจะมีนายตำรวจนายหนึ่งเข้ามาเป็นพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ซึ่งคนในโรงพักก็บอกว่านายตำรวจคนนี้เก่งแล้วมีความสามารถ จึงทำให้ตนมีความรู้สึกอุ่นใจและเชื่อว่าลูกจะได้รับความเป็นธรรม จะสามารถช่วยคดีของลูกได้ แต่พอเชิญเข้าไปพูดคุยข้างในห้อง นายตำรวจคนนี้บอกแม่ว่า มีพยานหลักฐานว่าตัวน้องเสพยาเสพติดหนักมาก โดยมีพยานแวดล้อมที่เป็นเพื่อนอีก 4 คนที่ยืนยันเรื่องนี้และเพื่อนก็อ้างว่า น้องรับงานลักษณะแบบนี้มานานแล้วและได้ห้ามน้องแล้ว ซึ่งตนก็ยังไม่รู้ว่าเพื่อน 4 คนนั้นเป็นใครบ้าง แต่ตนก็ไม่รู้ว่าลูกเสพยาเสพติดจริงหรือไม่ เพราะไม่ได้อยู่กับลูกตลอดเวลา จึงมีความรู้สึกแย้งในใจ เพราะเนื่องจากยังไม่มีผลแพทย์ระบุว่าน้องมียาเสพติดในร่างกาย ซึ่งทางตำรวจอ้างว่าต้องรออย่างน้อย 45 วันกว่าผลจะออก

ตำรวจนายนั้นจึงยื่นข้อเสนอให้แม่ 2 ทาง แนวทางแรกคือ ทางครอบครัวไม่ติดใจในการตายของลูกสาว จึงไม่ติดใจจะเอาความ ทางตำรวจจะคืนทรัพย์สินของลูกสาวให้ทั้งหมด แล้วจะทำเรื่องให้ได้รับเงินชดเชยเยียวยาจากการเสียชีวิต ส่วนแนวทางที่ 2 คือจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ตอนนั้นตนเข้าใจว่าสาเหตุการตายของลูกเกิดจากการช็อคเพราะเล่นยาเกินขนาด

ตนยังไม่ได้ตัดสินใจ จึงออกมาปรึกษากับครอบครัว ได้ข้อสรุปว่า หากต่อสู้คดีต่อไปมีสิทธิ์แพ้ถึง 80% เพราะเนื่องจากต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการขึ้นลงขึ้นศาลอีกเยอะ รวมทั้งที่บ้านก็ไม่ได้มีรายได้ขนาดนั้น มองว่าในเมื่อ ลูกสาวเสียชีวิตไปแล้ว ได้เงินค่าเยียวยาก็ยังดี อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาจากใครทั้งสิ้น เพราะยังไม่ตอบตกลงในแนวทางใดแนวทางหนึ่ง

แม่ของผู้เสียชีวิตยอมรับว่าตอนนั้นที่ตำรวจยื่นข้อเสนอให้ ตอนนั้นตนรู้สึกสงสารลูกและก็กังวลกลัวเขาจะไม่เข้าใจคิดว่าเราต้องการเงิน แต่ต้องยอมรับว่าจากการที่ฟังตำรวจพูด ทำให้ตนเข้าใจได้ว่า ลูกสาวเล่นยาจนเสียชีวิตจริง เนื่องจากตำรวจบอกว่า หากขึ้นศาล ตำรวจจะเขียนในสำนวนคดีว่ายาเสพติดเป็นของลูกสาว ทำให้ตนเชื่อได้ว่าลูกสาวของตนผิดจริง ต่อให้สู้คดีไปก็แพ้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้จะลุกขึ้นสู้อย่างเต็มที่ เพราะเนื่องจากตอนนี้มีเพื่อนของลูกสาวส่งข้อมูลและหลักฐานมาให้เป็นจำนวนมาก ส่วนเรื่องเงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญและไม่เคยตกลงข้อเสนอจากใครที่มีการหยิบยื่นเงินให้

ส่วนหลังจากนี้จะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่กล่าวหาว่าน้องเสพยาเสพติดหรือไม่นั้น พี่สาวของผู้เสียชีวิต ระบุว่า ตอนนี้ขอดำเนินการเรื่องการเสียชีวิตของน้องสาวก่อน แต่ถ้าทราบว่าเพื่อนทั้ง 4 คนของน้องสาวเป็นใคร ก็จะดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกลับอย่างแน่นอน

แม่ของผู้เสียชีวิตยอมรับว่า ก่อนหน้านี้มีนายตำรวจท่านนี้ส่งไลน์มาบอกกับทางครอบครัวว่าไม่ให้ข่าวกับสื่อมวลชน แต่เป็นการพูดลักษณะปกติ ไม่ใช่การข่มขู่แต่อย่างใด แต่พอตนเองเห็นพยานหลักฐานและได้รับข้อมูลจากเพื่อนลูกสาว คิดว่ายังไงก็พร้อมที่จะเป็นข่าว เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกสาว ซึ่งพี่สาวก็ได้ย้ำกับผู้สื่อข่าวว่า เชื่อมั่นว่าสื่อมวลชนจะเป็นที่พึ่งได้

แม่ของผู้เสียชีวิตยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยเสียงสั่นเครือว่า เพิ่งเจอลูกสาวครั้งสุดท้ายเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งก่อนจะกลับมาที่กรุงเทพ ลูกสาวยังได้กอดได้หอมและบอกรักกับคิดถึงตน ซึ่งตอนนั้นตนก็รู้สึกแปลกใจ เพราะปกติน้องจะไม่ค่อยกอดตน จะกอดพ่อเขามากกว่า แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอน้อง

หลังจากพูดคุยกับทางตำรวจเกือบชั่วโมง ประมาณ 12.45 น. แม่และพี่สาวของผู้เสียชีวิตก็ได้เดินออกมาจากห้องพนักงานสอบสวน โดยพี่สาวได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า หลังจากพูดคุยกับทางตำรวจแล้วก็มีความรู้สึกสบายใจในระดับหนึ่ง เพราะทางตำรวจระบุว่าเตรียมจะดำเนินการออกหมายจับลูกค้าชาวจีนที่อยู่กับน้องจนเสียชีวิต

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ายังมีข้อกังวลในเรื่องของพยานหลักฐานบางส่วน โดยเฉพาะแชทที่พูดคุยระหว่างโมเดลลิงผู้รับงานกับน้องที่ถูกลบไป รวมทั้งผลตรวจสารเสพติดในร่างกายของน้องที่ทางตำรวจก็ยังไม่ระบุว่าจะออกภายในกี่วัน ซึ่งก็ต้องรอดูผลกันต่อไปว่าจะออกมาในแบบไหน สำหรับประเด็นเรื่องที่ว่ามีนายตำรวจเป็นแฟนของโมเดลลิงที่อาจจะช่วยเหลือทางคดีนั้น พี่สาวระบุว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้มีการสอบถามกับทางตำรวจแต่เท่าที่ทราบ ไม่ใช่ตำรวจที่อยู่ในท้องที่ สน.โชคชัย แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นตำรวจหน่วยไหนและตนก็ยังมีความกังวลในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน



คุณอาจสนใจ

Related News