อาชญากรรม

ไขปม น้ำยาล้างท่อตันมรณะ คร่า 3 ชีวิตแม่ลูก พฐ.ยันไม่เกี่ยวโซดาไฟ ‘หมอหมู’ ชี้ศพได้รับพิษ ดับเฉียบพลัน

โดย petchpawee_k

14 ส.ค. 2567

1.2K views

คลี่ปม! น้ำยาล้างท่อตันมรณะ คร่า 3 ชีวิตแม่ลูก  เปิดภาพเพื่อนสนิทซื้อน้ำยาล้างท่อที่ร้านขายอุปกรณ์  เจ้าของร้านเตือนแล้ว ก่อนเกิดเหตุสลด  ผบช.สพฐ.ตร.ยันไม่เกี่ยวโซดาไฟ คาดซัลฟิลลิกทำปฏิกิริยาจนเกิดก๊าซไข่เน่า จ่อส่งรายงานถึงตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี เอาผิดไม่มี อย.


ความคืบหน้ากรณี ร.ต.อ.หญิง อนัญญา หรือ ผู้กองนก อายุ 60 ปี  รอง สว.สส.สภ.เมืองชลบุรี  เสียชีวิตพร้อมกับลูกสาว 2 คน คือ น.ส.จิตรพิสุทธิ์ อายุ 34 ปี   และ น.ส.ปัณณิกา อายุ 25 ปี ลูกสาว  ภายในห้องน้ำบ้านพักตำรวจ ที่ จ.ชลบุรี โดยเพื่อนของลูกสาวให้ข้อมูลว่า ก่อนเกิดเหตุ ผู้กองนกให้ไปซื้อโซดาไฟเพื่อมาล้างท่อในห้องน้ำที่อุดตัน และทีมเจ้าหน้าที่ที่ไปช่วยเหลือหลังได้รับแจ้งเหตุ ก็ได้กลิ่นเหม็นของโซดาไฟลอยออกมาจากบ้านพัก  แต่เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า ลำพังแค่โซดาไฟ ไม่สามารถทำให้ตายได้ หากไม่ได้กินเข้าไป จึงต้องมีการส่งศพผู้กองนกและลูกสาวไปชันสูตรอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุว่า เสียชีวิตจากสาเหตุใด


วานนี้ (13 ส.ค.)  เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดของร้านขายอุปกรณ์  ริมถนนพระยาสัจจา ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี  พบนางสาวข้าวฟ่าง เพื่อนสนิทของ น.ส.จิตรพิสุทธิ์ ลูกสาวคนโตของผู้กองนก  ขับรถเก๋งสีดำไปซื้อน้ำยาล้างท่อระบายน้ำยี่ห้อหนึ่ง โดยในภาพจะเห็นว่า น.ส.ข้าวฟ่าง จอดรถเก๋งแล้วเดินเข้าร้าน ก่อนจะไปหยิบน้ำยาล้างท่อระบายน้ำที่วางอยู่ในร้าน แล้วเดินมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ โดยช่วงที่เดินไปหยิบขวดน้ำยา มีพนักงานของร้านเดินตามอยู่ตลอด เมื่อมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ มีเสียงเจ้าของร้านพูดเตือนและแนะนำวิธีใช้ที่ถูกต้องให้ น.ส.ข้าวฟ่าง โดยบอกว่า “น้ำยาตัวนี้อย่าใช้ร่วมกันกับโซดาไฟ เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายและทำให้ระเบิดได้เนื่องจากยา 2 ตัวนี้ไม่เข้ากัน” น.ส.ข้าวฟ่าง ทำท่าเหมือนจะเข้าใจและรับทราบคำแนะนำของเจ้าของร้าน ก่อนจะสแกนจ่ายเงินค่าสินค้า เดินออกจากร้านแล้วขึ้นรถเก๋งสีดำ ขับออกจากร้านไปตามปกติ 


ทั้งนี้ ทีมข่าวตรวจสอบพบว่า สารเคมีที่ผู้กองนก ใช้ให้ข้าวฟ่างไปซื้อนั้นเป็นขวดสีขาว ซึ่งข้างขวดมีข้อความระบุชัดเจนว่า "ห้ามใช้ร่วมกับโซดาไฟเด็ดขาด" นอกจากนี้ยังมีภาพกล้องวงจรปิด ที่ น.ส.ข้าวฟ่าง นำรถไปล้างที่อู่ ไปเติมน้ำมันและไปซื้อข้าว ตรงตามที่ให้การกับตำรวจ


ขณะเดียวกัน วานนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 2 เข้าตรวจสอบบ้านพักหลังเกิดเหตุอีกครั้ง เพื่อเก็บหลักฐานเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นสารเคมี ว่าเป็นสารอะไรกันแน่ ซึ่งต้องนำหลักฐานทั้งหมดเข้าห้องปฏิบัติการ  


ทีมข่าวได้คุยกับ จ.ส.ต.เจนณรงค์ บุญอยู่ สายตรวจ สภ.เมืองชลบุรี ผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือเป็นกลุ่มแรกๆ เปิดเผยว่า ตนเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุเป็นคนที่ 3 ตอนยืนอยู่ที่ห้องรับแขกประมาณ 15-20 นาที ก็รู้สึกคลื่นไส้ เวียนหัว จนต้องไปอาเจียนถึง 3 ครั้ง หลังจากนั้น ตนยังรู้สึกแน่นหน้าอกตลอดทั้งวัน มีอาการเหมือนหายใจไม่เต็มปอด


ส่วนผู้กองนกนั้น ตนก็รู้จักเป็นการส่วนตัว เพราะเจอผู้กองออกกำลังกายที่หน้าบ้านตอนเช้าทุกวัน เพราะผู้กองเป็นคนรักสุขภาพ ดังนั้นตนจึงไม่เชื่อว่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย และในบ้านก็ไม่มีร่องรอยการต่อสู้

ส่วน น.ส.เสาวลักษณ์ วสุภากุล อายุ 71 ปี เพื่อนสนิทของผู้กองนก  ก็บอกเหมือนกันว่า ไม่เชื่อว่าผู้กองนกจะฆ่าตัวตาย เพราะตอนเช้าวันเกิดเหตุ ยังส่งไลน์สวัสดีกันตามปกติ และก่อนหน้านี้ยังโทรนัดไปเที่ยวกัน  ตัวผู้กองนกมีโรคประจำตัว คือโรคปอด ส่วนสามีก็อยู่ภาคใต้ เนื่องจากต้องดูแลคุณแม่ ผู้กองนกจึงไม่ได้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ส่วนข้าวฟ่าง ก็เป็นเพื่อนสนิทของลูกสาวผู้กองนก มักจะมาที่บ้านเสมอ  ตัวผู้กองก็รักลูกๆ มาก และวางแผนจะย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ ที่เพิ่งผ่อนดาวน์ ลูกสาวทั้งสองคนก็มีหน้าที่การงานดี ไม่เคยสร้างปัญหาอะไร


ด้าน นายแป๊ะ สามีของผู้กองนก เดินทางมาจากภาคใต้ พร้อมญาติๆ นำเอกสารไปยื่นขอรับศพภรรยาและลูกสาวกลับไปบำเพ็ญกุศล โดยระบุว่า ตอนนี้รอทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ส่วนน้ำยาล้างท่อที่พบในบ้าน ก็เคยซื้อมาใช้ก่อนหน้านี้ แต่ตนก็ไม่รู้ว่าคราวนี้ภรรยาใช้น้ำยานี้อย่างไร  แต่ไม่คิดว่าภรรยาจะฆ่าตัวตาย

ต่อมา วานนี้ (13 ส.ค.67) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ แถลงผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานในคดีดังกล่าว โดยระบุว่า ข้อมูลจากพยาน ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุสมาชิกในบ้านไปซื้อน้ำยาล้างท่ออุดตัน เพื่อแก้ปัญหาท่อตันในห้องน้ำ ลักษณะเป็นขวดสีขาวทึบ ฝาสีแดง (ยี่ห้อ Turtle) ซึ่งเจ้าหน้าที่ไปพบขวดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในถังขยะ ซึ่งมีของเหลวเหลืออยู่ก้นขวด


ส่วนในห้องน้ำ พบผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำ ยี่ห้อตามท้องตลาดทั่วไปประมาณ 4 ขวด โดยแต่ละขวดถูกใช้งานไปแล้ว  เจ้าหน้าที่ได้เก็บดีเอ็นเอและลายนิ้วมือแฝงที่ประตูห้องน้ำ รวมถึงขวดน้ำดื่มและอาหารภายในบ้าน  เพื่อนำไปตรวจสารพิษเจือในอาหารด้วย ซึ่งผู้เสียชีวิต แบ่งเป็น เสียชีวิตทันที 1 ราย (ลูกสาวคนเล็ก) และอีก 2 รายไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล (ผู้กองกับลูกคนโต) ทั้งหมด ไม่มีบาดแผลและไม่พบร่องรอยไหม้ในช่องปาก


จากการสอบปากคำพยาน ทราบว่า น่าจะมีการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างท่ออุดตัน ไปประมาณ 3 ชั่วโมง ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึง ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ก็ยังได้กลิ่นเหม็นไหม้รุนแรงและมีอาการแสบตา แสบจมูก ส่วนห้องน้ำที่เกิดเหตุ มีขนาดเล็ก กว้าง 1.2 เมตร ยาว 2.5 เมตร สูง 2.05 เมตร และมีช่องระบายอากาศเพียงช่องเดียว กว้าง 40 เซ็นติเมตร ประตูเป็นแบบผลักเข้าไปด้านใน จึงสันนิษฐานว่า  หากมีคนเป็นลมติดอยู่ภายใน คนที่เข้าไปช่วยจะต้องปิดประตู เพื่อทำการช่วยเหลือ ซึ่งก็จะทำให้สูดดมสารเคมีเข้าไปด้วย


เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ไปซื้อผลิตภัณฑ์ล้างท่ออุดตัน แบบเดียวกันมาตรวจพิสูจน์ พบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นของเหลวสีดำ เป็นซัลฟิวลิกที่มีความเข้มข้นสูง และไม่สามารถนำไปใช้ร่วมกับสารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง โดยเฉพาะโซดาไฟ หากนำไปใช้ร่วมกันแล้วไปเจอสิ่งอุดตันภายในท่อจะทำปฏิกิริยากลายเป็นก๊าซไข่เน่า มีควันพวยพุ่งขึ้นมา  ซึ่งในอดีตก็เคยมีกรณีการเสียชีวิตจากก๊าซไข่เน่ามาแล้ว


ผลิตภัณฑ์ตัวนี้หาซื้อได้ยาก ไม่มีขายในห้างสรรพสินค้าทั่วไป แต่จะพบในร้านขายวัสดุก่อสร้าง  ตรวจสอบพบว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีเลขทะเบียน อย. และไม่มีทะเบียนวัตถุอันตรายที่ใช้ในการสาธารณสุข  โดยเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จะรายงานผลการตรวจสอบนี้ให้กับตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีดำเนินการต่อไป  ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างรอผลชันสูตรอย่างละเอียด ถ้าเกิดจากผลิตภัณฑ์ล้างท่ออุดตันที่ไม่มี อย. ก็สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ตามกฎหมาย

ด้าน พ.ต.อ.หญิง วิภาวดี เกษมวรภูมิ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มงานตรวจทางเคมี ฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ระบุว่า จากรายงานทางวิชาการ ปริมาณของก๊าซไข่เน่าที่ทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีหลายระดับ  ปริมาณ 50 ppm จะทำให้ระคายเคืองตา และเยื่อบุทางเดินหายใจอักเสบ  แต่ถ้าหากก๊าซมีปริมาณ 500 ppm จะส่งผลทำให้มีอาการคลื่นไส้หมดสติ  หากเกิน 500 ppm จะทำให้ขาดออกซิเจนและหยุดหายใจเฉียบพลัน  

---------------------------------

หมอหมู เผย สภาพศพ 3 แม่ลูก “ได้รับพิษ-เสียชีวิตเฉียบพลัน” ด้าน อ.อ๊อด ทดสอบปฏิกิริยาน้ำยาขจัดท่อ พบ คายความร้อนรุนแรง


รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี หรือ หมอหมู อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.)  กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าไปพบสภาพศพผู้กองนก กับลูกสาว 2 คน มีน้ำลายฟูมปาก  ปากเขียวคล้ำ   เล็บสีคล้ำ   โดยกรณีน้ำลายฟูมปาก สะท้อนว่า ปอดได้รับความเสียหาย ทำให้มีน้ำลายไหลออกมาแบบมีฟอง ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ทั้งกรณีสูดดม และกินสารเคมีเข้าไป


เช่นเดียวกับ อาการ ปากคล้ำ และ เล็บคล้ำ เป็นอาการที่เกิดขึ้นในภาวะการได้รับพิษ และเสียชีวิตเฉียบพลัน  เกิดขึ้นได้ทั้งการสูดดมและกิน  ซึ่งการตรวจสอบทำได้ไม่ยากคือ  หากสงสัยว่าเป็นการกินสารเคมีเข้าไปหรือไม่ สามารถตรวจสอบช่องปากและหลอดอาหารได้  หากพบว่าหลอดอาหารยาวไปถึงกระเพาะอาหาร ว่า มีร่องรอยการไหม้ ก็เชื่อได้ว่ากินสารพิษเข้าไป


ด้าน รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อาจารย์อ๊อด ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และทีมงาน ทดสอบปฏิกิริยาทางเคมีในผลิตภัณฑ์แบบเดียวกับที่เจอในที่เกิดเหตุ  โดยทดสอบในห้องน้ำซึ่งมีที่ระบายอากาศ และปลอดภัย

ตัวอย่างแรก นำน้ำยาขจัดปัญหาท่ออุดตัน มาเจือจางน้ำเปล่า  ซึ่งน้ำเปล่ามักจะมีความกระด้างของน้ำ และแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในน้ำ  ทันทีที่ผสมกันก็เกิดควันขึ้น เนื่องจากเกิดจากการคลายความร้อนแบบรุนแรงและเฉียบพลัน และตัวแก้วที่ใส่น้ำยาดังกล่าว ก็สัมผัสได้ถึงความร้อน


จากนั้น ทดลองนำน้ำยาตัวดังกล่าวที่ผสมเจือจางกับน้ำแล้ว ไปผสมกับโซดาไฟ  ที่ถูกเจือจางด้วยน้ำ ก็ปรากฎว่า เพียงเทลงไปนิดเดียว ก็เกิดปฏิกิริยาควันฟู่ขึ้นมา นั่นแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของน้ำยา เมื่อเจอกับโซดาไฟเพียงเล็กน้อย


จากนั้น  ทดลองเทน้ำยาที่เจือจางกับน้ำลงในท่อ โดยจะต้องเปิดน้ำเพื่อเจือจางความเข้มข้นของสารตลอดเวลา แต่ก็ปรากฎว่า มีควันฟู่ขึ้นมาเช่นกัน


ส่วนการทดสองผสมกับน้ำยาฟอกขาว และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ยังไม่สามารถทดสอบได้ เนื่องจากต้องทำการทดลองในห้องปฏิบัติการที่มีฮูด (ห้องที่มีที่ดูดควัน เพราะเวลาทำกับกรด หรือสารเคมีจะต้องระวังไม่ให้มีการสูดดม และระคายเคืองในโพรงจมูก)  ซึ่งในขณะที่ทดสอบช่วงที่มีสารเคมีระเหยขึ้นมา ทีมข่าวก็ทำให้เกิดอาการระคายเคืองในโพรงจมูกพอสมควร


ส่วนตัวขวดผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำยาไหลย้อยไปที่ข้างขวด ก็พบว่า ใช้เวลาไม่นาน ฉลากบนขวดก็เลือนหายไป ตามทางที่น้ำยาไหลผ่าน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มข้นหากสัมผัสโดยตรง


อีกประเด็นที่อาจารย์อ๊อดค่อนข้างเป็นห่วง คือ การที่ผลิตภัณฑ์หลายตัวไม่มีการบอกส่วนผสมหรือความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์ แต่จากการสันนิษฐานน่าจะเป็นกรดไฮโดรคลอลิกอย่างแน่นอน


ทั้งนี้ อยากย้ำเตือนว่า การใช้น้ำยาดังกล่าว  ห้ามใช้กับโซดาไฟ  เพราะอาจทำเกิดปฏิกิริยาไฟไหม้ได้ แต่ประชาชนไม่ต้องแตกตื่นเรื่องของการใช้สินค้าเหล่านี้  ถ้าเปิดให้อากาศผ่านสะดวก ใส่ถุงมือและแว่นตาป้องกัน ก็ปลอดภัยและขอให้ใช้อย่างถูกต้อง ระมัดระวังก็พอ


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/vG7H9PJFAOc


คุณอาจสนใจ

Related News