อาชญากรรม

เปิดแชทแก๊งยิง 'น้องหยอด-ครูเจี๊ยบ' ยกย่องคนก่อเหตุเป็นฮีโร่ ตะลึง! รูปแบบองค์กรอาชญากรรม

โดย petchpawee_k

23 พ.ย. 2566

108 views

เปิดวินาทีรวบ "ทีมสังหาร" ช่ยวางแผนยิง น้องหยอด-ครูเจี๊ยบ ตำรวจพบเงินทุนเทา หนุนหลังกิจกรรมเพื่ออุดมการณ์ กลุ่มองค์กรอาชญากรรม  เร่งขยายจับสมาชิก 84 คน


เมื่อช่วงเช้าวานนี้ (22 พ.ย.) ตำรวจนครบาลเปิดปฏิบัติการ "ปิดเมืองล่ามือยิงครูเจี๊ยบและน้องหยอด" หลังใช้เวลาแกะรอยมานานถึง 10 วัน ตรวจกล้องวงจรปิดกว่า 1,000 ตัว ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทำให้พบรถจักรยานยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุ ซึ่งคนร้ายได้พยายามลบร่องรอย ไม่ให้ชุดสืบสวนสามารถติดตามได้ง่าย โดยได้ขโมยแผ่นป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์ 2 แห่งในพื้นที่ สน.ดินแดง และ สน.ประชาชื่น มาสวมที่รถจักรยานยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุ  เปลี่ยนสีรถจากสีแดงเป็นสีน้ำเงิน  ทิ้งร่องรอยในจุดต่างๆ เพื่อหลอกล่อให้ชุดสืบสวนเข้าใจผิด


ส่วนตัวคนร้ายก็มีการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายทั้งหมดหลังก่อเหตุ โดยมีกลุ่มคนที่คอยให้การช่วยเหลือ  ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ขอศาลออกหมายจับ 5 หมาย หมายค้น 6 หมาย เข้าค้น 4 จุด ในกรุงเทพและปริมณฑล


โดยมีภาพวินาทีที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล บุกจับนายพฤฒิพล ราชญาณ หรือ เอย อายุ 22 ปี ที่หน้าตึก 5 เคหะเอื้ออาทรบางบัวทอง ตำบลบางบัวทอง อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ขณะขี่ จยย. เข้ามาจอดบริเวณหน้าตึกโดยแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเข้าชาจน์ตัว โดยชุดจับกุมบอกกับผู้ต้องหาว่า “อย่าสู้ๆ เดี๋ยวมึงได้เกิดใหม่นะ” ก่อนจะให้ผู้ต้องหายืนยันว่าตัวเองเป็นบุคคลตามหมายจับ  จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายพฤฒิพล ไปตรวจค้นบนห้องพัก โดยได้มีการสอบถามว่ามีเพื่อนอยู่ใช่ไหม โดยนายพฤฒิพล ตอบว่า “อยู่ แต่เพื่อนผมไม่เกี่ยวครับพี่” ก่อนเจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจค้นห้องพักดังกล่าว


ทั้งนี้นายพฤฒิพล เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ในคดีร่วมกันยิงนักศึกษาอุเทนฯ ที่บริเวณหน้าคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา โดยนายพฤฒิพล ได้เป็นผู้ช่วยวางแผน และช่วยเหลือกลุ่มคนร้ายในการก่อเหตุยิงนายธนสรณ์ และครูเจี๊ยบ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน และเป็นเหรัญญิก มีหน้าที่ "รวบรวมเงิน"  และนายพฤฒิพล ยังเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ให้คนร้ายอีกคน ไปก่อเหตุกราดยิงใส่นักศึกษาอุเทนฯ ที่บริเวณหน้าคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 66 ที่ผ่านมา และเป็นคนเดียวในคดีนี้ที่ยังหลบหนีอยู่


 และจากการตรวจมือถือของนายพฤฒิพล ยังปรากฎข้อความแชทจากรุ่นพี่สถาบันช่างกลในกลุ่มไลน์ ส่งข้อความมาแสดงความยินดีกับผู้ก่อเหตุที่พารุ่นน้องไปร่วมก่อเหตุยิงสถาบันคู่อริจนเสียชีวิตได้สำเร็จ โดยมีข้อความว่า “พี่ขอแสดงความยินดีกับน้อง ช.ก.90 ที่พาน้อง ช.ก.91 ไปเกิดได้อย่างสมศักดิ์ศรีช่างกลปทุมวัน” มีข้อมูลระบุว่า ข้อความนี้เกิดขึ้น หลังจากที่ยิงครูเจี๊ยบประมาณ 3-4 ชั่วโมง


ทั้งนี้ มีเพื่อนในกลุ่มแชทไลน์เข้ามากด อิโมจิ แสดงความชื่นชมเป็นจำนวนมาก ซึ่งในกลุ่มแชทไลน์นี้ มีเพื่อนและรุ่นพี่อยู่ในกลุ่มแชทไลน์นี้ จำนวน 103 คน  ขณะที่ คำว่า "เวรเฝ้า" บนหัวแชท คาดว่าน่าจะหมายถึง เวรเฝ้า เซฟเฮ้าท์


นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานแชทในกลุ่มไลน์ ที่มีการเข้าไปแชท ขอยืม ลูกกระสุน .38 และอีกข้อความ มีการส่งข้อความ เพื่อบอกเพื่อนในกลุ่ม  “...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ แค่นี้พอ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เยอะแยะ


จากนั้นเจ้าหน้าที่เข้าค้นจุดที่ 2 เป็นบ้านหลังหนึ่ง ตำบลทวีวัฒนา อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี จับ นายวรงชัย กัณฑ์ศรี อายุ 20 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ข้อหาร่วมกัน สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด หรือซ่องโจร โดยมีรายงานว่านายวรงชัย ร่วมวางแผน และคอยคุ้มกันกลุ่มผู้ก่อเหตุยิง น้องหยอดและครูเจี๊ยบ เสียชีวิต


ส่วนอีกจุด ที่บ้านพักในซอยวงศ์สว่าง 19 แยก 2 แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพ ซึ่งทางกลุ่มใช้เป็นเซฟเฮ้าท์ เจ้าหน้าที่บุกจับผู้ต้องหาที่ 3-8 คือ นายวุฒิพงษ์ ผลคำ อายุ 25 ปี  นายสัญปกรณ์ พรรณานนทศักดิ์ อายุ 24 ปี นายสหัสวรรษ ภักดีนอก อายุ 23 ปี นายจิรายุส สุวรรณศุภ อายุ 23 ปี นายธนากร พันทองคำ อายุ 22 ปี  และ นายอภิเดช นาคประกอบ อายุ 21 ปี ในข้อหา ร่วมกันสบคบกันตั้งแต่ 5 คน กระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด "ซ่องโจร" และจากการตรวจค้น ยังสามารถตรวจยึดของกลางได้ 12 รายการ เช่น เสื้อ กางเกง หัวเข็มขัด รถยนต์ และระเบิดปิงปอง อีก 2 ลูก


โดยมีคลิปนาทีที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นจุดดังกล่าว และบุกจับผู้ต้องหาทั้ง 6 ราย (รายที่ 3-8) โดยเจ้าหน้าที่ได้สั่งให้ผู้ต้องหาทั้งหมดนอนหมอบราบและก้มหน้าลง ก่อนจะเข้าตรวจค้นที่เซฟเฮ้าท์ดังกล่าว โดยบางช่วงของการจับกุมทางพลตำรวจตรี ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้สอบถามผู้ต้องหาว่า “ถ้าญาติมึงโดนลูกหลงตายมึงโกรธไหม” ทางกลุ่มผู้ต้องหาตอบว่าโกรธ และพลตำรวจตรีธีรเดช จึงกล่าวว่า “นี่หรือคือสุภาพบุรุษช่างกล ดูแล้วไม่เห็นความสำนึกเลย”

ทั้งนี้ จากการตรวจค้นบ้านหักหลังดังกล่าวยังพบภาพของภาพน้องนักศึกษา วิศวะกรรมไฟฟ้า (ชื่อน้องศตวรรษ) ที่ถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งทางกลุ่มแก๊งนี้ได้นำรูปมาแขวนไว้เพื่อเตือนใจ นี่คือ รุ่นพี่ที่เป็นเหยื่อของคู่อริ และ ต้องไปเอาคืน


ต่อมาเวลา 15.50 น. พลตำรวจตรี ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำขยายผล ทำให้พบพยานหลักฐาน และสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาได้เพิ่มอีก 1 คน เป็นผู้ร่วมวางแผนการก่อเหตุ แต่ขณะที่ตำรวจกำลังนำหมายจับจะเข้าไปจับกุม ปรากฎว่าผู้ต้องหามีอาการช็อก ต้องส่งตัวเข้าโรงพยาบาล จึงยังไม่สามารถจับกุมมาแจ้งข้อกล่าวหาได้ ทั้งนี้ ยืนยันว่าหากสอบสวนไปถึงใคร ก็จะดำเนินการออกหมายจับเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีทั้งหมด


ทีมข่าวอาชญากรรมได้ลงพื้นที่ 1 ในจุดที่ตำรวจเปิดปฏิบัติการตรวจค้น เป็นอะพาร์ตเมนต์สูง 5 ชั้น ในซอยพระราม 6 ซอย 15 ลักษณะเป็นอะพาร์ตเม้นต์ ตั้งอยู่ติดกับทางรถไฟ  จากการตรวจค้นภายในห้องไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่จากการสอบถามคนดูแลอะพาร์ตเมนต์ให้ข้อมูลว่า มีนักศึกษาไม่ทราบสถาบันมาเช่าไว้นานกว่า 1 ปีแล้ว แต่ไม่มีคนมาอยู่ประจำ แต่จะมีนักศึกษาแวะเวียนมาในบางครั้ง และส่วนใหญ่จะไม่สุงสิงกับคนภายนอก


ทีมข่าวได้พูดคุยกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมทางรถไฟให้ข้อมูลว่า เคยเห็นลักษณะเยาวชนคล้ายนักเรียนอาชีวะเดินออกมาจากภายในซอยเป็นกลุ่ม 5-6คน แต่หลังเกิดเหตุยิงครูเจี๊ยบและน้องหยอดเสียชีวิต ก็ไม่ค่อยเห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นดังกล่าวอีก  ขณะที่ชาวบ้านอีกคน ให้ข้อมูลว่า เคยเห็นเด็กนักเรียนเหล่านี้ขี่มอเตอร์ไซต์เข้ามาพักที่อะพาร์ตเมนต์ และใช้บริการซักผ้าอยู่เป็นประจำ แต่หายไปราว 10 กว่าวันแล้ว

----------------------------

ต่อมาวันเดียวกัน พลตำรวจตรีธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมกับพลตำรวจตรีวิทวัฒน์ ชินคำ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 พร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจสอบรถยนต์ต้องสงสัยในคดีครูเจี๊ยบ และ นักศึกษาอุเทนถวาย ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา


จากตรวจสอบพบรถกระบะโตโยต้าแบบมีหลังคา สีทูโทน ฟ้าขอบเทา ทะเบียนชลบุรี ที่ถูกนำมาซุกซ่อนในป่าไผ่ ริมถนนโยธาธิการวัดต้นเชือก คลองหนึ่ง อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี จอดซุกซ่อนเอาไว้โดยมีการนำกิ่งไผ่มาวางปิดบังไว้รอบคัน นอกจากนี้ยังใช้ผ้าใบสีน้ำเงินคลุมปิดท้ายไว้อีกที่เพื่ออำพราง ตำรวจพิสูจน์หลักฐานตรวจพบ ซองปืน ยาปฏิชีวนะ ป้ายทะเบียนรถ กุญแจรถจักรยานยนต์ และบุหรี่ อยู่ในรถคันดังกล่าว จึงเก็บไปตรวจสอบเพื่อหาลายนิ้วมือแฝง


ทั้งนี้ มีภาพจากกล้องวงจรปิดเวลาประมาณตี 1 เศษ ในภาพจะเห็นคนร้าย 2 คน ขี่รถ จยย. ผ่านกล้อง และไปจอดอยู่บริเวณข้างเสาตอม่อ ก่อนที่ 2 คนร้ายจะเดินย้อนขึ้นมาเพื่อไปขึ้นรถอีกคันหนึ่งที่จอดรอไว้ ก่อนจะขับออกไป ทั้งนี้ มีข้อมูลด้วยว่ารถที่จอดรอนั้นมีคนขับอยู่ 1 คน ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันไปที่แหล่งกบดานในซอยงามวงศ์วาน ซึ่งเป็นจุดที่ตำรวจไปค้นเมื่อช่วงเช้าวานนี้ (22 พ.ย.) 


ขณะที่ภาพวงจรปิดบริเวณดังกล่าวได้จับภาพรถขับเข้ามาในซอย ก่อนนำไปจอดซุกซ่อนเอาไว้จนเจ้าหน้าที่ขยายผลมาตรวจสอบดังกล่าว


โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนขยายผลกลุ่มผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพว่า ก่อนเกิดก่อเหตุได้มีการแบ่งหน้าที่กันทำหลายอย่างทั้งการแบ่งคนไปก่อเหตุขโมยแผ่นป้ายทะเบียนของชาวบ้านเพื่อมาใช้ในการก่อเหตุ โดยรถกระบะคันดังกล่าวเป็นรถที่ใช้ขนรถ จยย.ขึ้นกระบะหลังรถหลังก่อเหตุลักแผ่นป้ายทะเบียนรถมาได้ หลังจากนั้นจึงได้นำรถกระบะมาจอดซุกซ่อนไว้ที่จุดดังกล่าวก่อนจะมาถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด


นายอมรเทพ โกศลเวช นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทวีวัฒนา เปิดเผยว่า ช่วงเวลา 10.30 น. ของวันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา พบรถคันดังกล่าว ถูกนำจอดทิ้งไว้ ตรวจสอบภายในเห็นแผ่นป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์หนึ่งแผ่น เมื่อสอบถามชาวบ้านไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของรถ จึงไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรไทรน้อย


ด้านพลตำรวจตรีธีรเดช เปิดเผยว่า รถกระบะคันนี้เป็น 1 ในรถที่ร่วมก่อเหตุ โดยก่อนเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายได้มีการแบ่งหน้าที่กันวางแผนทำงานอย่างเป็นขบวนการ โดยรถกระบะคันนี้เป็นรถที่ใช้ก่อนเกิดเหตุ ทำหน้าที่เป็นรถที่ใช้ไปรับรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง ที่ไปลักแผ่นป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านในเขตพื้นที่ สน.ประชาชื่น เพื่อนำมาใช้สวมสับเปลี่ยนแผ่นป้ายทะเบียนรถ กับรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุไปยิงกลุ่มนักศึกษาคู่อริ


แล้วขึ้นรถเพื่อหลบหนีบริเวณสถานีรพไฟบางซ่อน กทม. จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่ารถกระบะคันดังกล่าวได้ขับเข้าที่เซฟเฮาส์ของกลุ่มคนก่อเหตุภายในซอยงามวงศ์สว่าง 19 จนเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเข้าไปจับกุมตัวกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุได้ทั้งหมด 6 คน พร้อมของกลางอีกหลายรายการเมื่อช่วงเช้า


จากการสอบสวนทั้งหมดให้การที่สอดคล้องกันจนนำมาสู่การตามมาตรวจยึดรถกระบะคันดังกล่าวได้ ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการก่อเหตุยิงนั้นพบว่าเป็นรถสีแดง แต่พอก่อเหตุเสร็จแล้วหลบหนีออกจากพื้นที่ กทม. ได้มีการเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างสอบสวนขยายผล


เบื้องต้นพบว่ากลุ่มนี้มีการติดต่อกันผ่านทางไลน์กลุ่มถึง 84 คน โดยเป็นกลุ่มไลน์ลับของพวกเขาที่มีความคิดแบบเดียวกัน ที่ว่าก่อเหตุแบบนี้แล้วจะเป็นฮีโร่ของกลุ่ม ซึ่งมันเป็นความเชื่อที่ผิดอย่างมาก


สำหรับแนวทางการสืบสวน พบว่าคดีนี้มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมที่แข็งแรง การทำงานที่ซับซ้อน โดยมีสมาชิกที่มีอุดมการณ์เดียวกันถึง 84 คน และมีการแต่งตั้งหัวหน้าองค์กร ที่ตำรวจมีข้อมูลสำคัญที่จะเชื่อมโยงไปถึงผู้ลงมือก่อเหตุแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้


ที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มที่ก่อเหตุมีการพัฒนาจนเกินกว่า “องค์กรอาชญากรรม” ไปแล้ว มันไม่ใช้แค่ขี่รถมาก่อเหตุ มันมีการวางแผนกันเป็น 10 คน ยิ่งกว่าในภาพยนตร์ มีรุ่นพี่ผู้ผ่านประสบการณ์เป็นพี่เลี้ยง มีกองทุนเพื่อไว้หาอุปกรณ์ก่อเหตุ กองทุนไว้ประกันตัว จ้างทนายมาต่อสู้คดี และที่เห็นจะเลวร้ายที่สุดคือเมื่อมีคนถูกจับได้ พอถึงชั้นเบิกความก็จะตามพรรคพวกมานั่งฟังการไต่สวนของชุดสืบสวน เอาไปพัฒนารูปแบบการก่อเหตุไม่ให้โดนจับได้อีก มันไม่ใช่เรื่องที่เราในสังคมจะมองข้ามกันได้แล้ว เพราะมันลุกลามบานปลายมาจนมีผู้บริสุทธิ์ต้องมาเผชิญชะตากรรมเลวร้ายจากกลุ่มบุคคลนี้


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าผู้ก่อเหตแค้นอะไรจึงได้วางแผนเป็นขั้นตอนมายิง หรือต้องการอะไร พลตำรวจตรีธีรเดช กล่าวว่า ในการสอบสวน ตอนนี้เขายังให้การภาคเสธ เชื่อว่าข้อมูลที่เขาได้มายังพูดกับเราไม่หมด จึงต้องขอเวลาตรวจสอบ ส่วนเขาได้ผลประโยชน์อะไรในการฆ่าคนครั้งนี้ ยังตอบไม่ได้ต้องขอเวลาตรวจสอบ


ส่วนการลงพื้นที่ตรวจค้น 6 จุด ในพื้นที่ กรุงเทพ และ นนทบุรี เมื่อช่วงเช้าวานนี้ (22 พ.ย.) ซึ่งเป็นที่ทำการขององค์กรกลุ่มนี้สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาที่มีตำแหน่ง เหรัญญิก ทำหน้าที่เก็บรวบรวมเงินสีเทา จากสมาชิก เพื่อนำไปทำกิจกรรมตามอุดมการณ์ขององค์นี้


 นอกจากนี้พบว่ายังมีองค์กรในลักษณะคล้ายกับองค์กรนี้อีกหลายกลุ่ม ซึ่งหากครั้งนี้ตำรวจไม่สามารถจับกุมได้ก็จะทำให้องค์กรอื่นเข้มแข็งตามไปด้วย


ด้าน พล.ต.ต.วาที อัศวุฒมางกูร ผู้บังคับการตำรวจพิสูจน์หลักฐานกลาง เปิดเผยว่า หลังการตรวจค้นในรถพบ ซองปืน ใส่ปืนลูกโม่หรือปืนออโตเมติก อุปกรณ์รถ จยย. เสื้อคลุมสีดำ เสื้อกีฬาสกรีนชื่อบุคคล ยาทามาดอ 1 แผง ซึ่งนำไปผสมเป็นสารกลุ่มประสาทได้ โดยยาชนิดนี้ไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาต้องแพทย์สั่งเท่านั้น


โดยรถคันนี้กระจกด้านหลังไม่มี หากจะนำรถ จยย. ขึ้นรถก็สามารถทำได้ ซึ่งหลักฐาน ทางดีเอ็นเอ ลายนิ้วมือ ทั้งที่พวงมาลัยและที่เกียร์รถ และจุดสัมผัส ก็จะมีการนำไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอที่พบก่อนหน้านี้ รวมไปถึงหลักฐานที่ต้องสงสัยอย่างหนึ่งคือ ก้นบุหรี่ที่พบในเซฟเฮาส์ ไปเทียบเคียงกับของใช้ในเซฟเฮาส์ เพื่อพิสูจน์หาหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ


ขณะที่พลตำรวจโทธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอดจนสามารถขอศาลอนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาได้ ทั้งกลุ่มที่ลงมือก่อเหตุ และกลุ่มที่ให้การสนับสนุน ซึ่งตอนนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้บางส่วน แต่ก็ยังมีที่หลบหนีอยู่


ส่วนผู้ต้องหาตามหมายจับค้างเก่าที่ได้จับกุมตัวมานั้น เป็นคดีคนร้ายยิงนักศึกษาอุเทนฯ ที่หน้าคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งจากการสืบสวนพบว่ามีความเชื่อมโยงกันกับกลุ่มผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ในรายละเอียดและแผนประทุษกรรม ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดเล็ก


โดยกลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนที่พ้นสภาพจากการเป็นนักศึกษาไปแล้ว และได้สร้างโลกเสมือนขึ้นมา ด้วยการสร้างกลุ่มขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ไปเช่าที่พักอาศัยอยู่รวมกัน และพยายามหาแนวร่วมเป็นนักศึกษาปัจจุบัน เพื่อเอาสัญลักษณ์สถาบันมาใช้ และจะใช้วิธีสร้างคุณค่า สร้างแรงจูงใจ ใช้ให้ไปทำร้ายคนอื่น เพื่อให้ได้รับการยอมรับ


 และกลุ่มเหล่านี้ ยังได้มีการเรียนรู้ ถอดรูปแบบแผนประทุษกรรมจากการก่อเหตุครั้งก่อนๆ ว่าทำอย่างไรจะหนีรอด ทำอย่างไรจะถูกจับกุม และมีการพัฒนาแผนประทุษกรรมมาเรื่อยๆ ด้วย ซึ่งตอนนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้กวาดล้างกลุ่มเหล่านี้ทั่วประเทศ



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/itu-oA3M-ZI

คุณอาจสนใจ

Related News