อาชญากรรม
'บิ๊กโจ๊ก' ร่วม ตร.กัมพูชา ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวบ 4 คนไทยทำหน้าที่โทรหลอกโอนเงิน
โดย passamon_a
11 ก.ย. 2566
97 views
จากกรณีที่ นายสาณิช ดอกไม้ เกิดความเครียดใช้อาวุธมีดปาดคอฆ่าภรรยา และบุตร 2 คน อายุ 13 ปี และ 11 ปี เสียชีวิตรวม 3 ศพ จากนั้นได้ปาดคอตัวเองหวังฆ่าตัวตายตาม เหตุเกิดในเขตพื้นที่ สภ.บางแก้ว จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุเกิดจากความเครียดจากปัญหาหนี้สินค้ำประกันการซื้อรถให้เพื่อนบ้าน เป็นเงิน 8 แสนบาท จนถูกฟ้องและกรมบังคับคดีจะยึดบ้าน นอกจากนี้ภรรยายังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเป็นแอปเงินกู้ และสูญเงินไปกว่า 1.7 ล้านบาท
ต่อมาวันที่ 4 ก.ย.66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อประสานขอความร่วมมือกับ พล.ต.อ.ซอ เทศ ผบ.ตร.กัมพูชา ในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่อยู่ในประเทศกัมพูชา จึงได้มีการวางแผนร่วมกันระหว่างกำลังตำรวจของทั้งสองประเทศ เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว
ความคืบหน้าวันที่ 9 ก.ย.66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ร่วมกับ พล.ต.ท.เสียง เทีย ริต รองผู้อำนวยการ กองบัญชาการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติกัมพูชา พลตำรวจจัตวา ดารา สุเภีย รองผู้อำนวยการ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติกัมพูชา พ.ต.อ.ฮุง วี แรก ผู้บังคับการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติกัมพูชา และ พ.ต.ท.ชิ โคโบตร้า เลขาธิการผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชา ร่วมกันติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับที่หลบหนีอยู่ในกัมพูชาได้อีก จำนวน 4 คน
1. นายสุพล วงเวียน อายุ 21 ปี ทำหน้าที่ หัวหน้าคนไทยควบคุมพนักงานคอลเซ็นเตอร์ฝั่งกัมพูชา และจัดหาบัญชีธนาคารของผู้อื่น (บัญชีม้า)
2. น.ส.นิศารัตน์ สุขเกษม อายุ 22 ปี ทำหน้าที่ พนักงานในคอลเซ็นเตอร์
3. น.ส.กนกพร ไกรสุข อายุ 19 ปี ทำหน้าที่ พนักงานในคอลเซ็นเตอร์
4. น.ส.กรกนก สิงทิศ อายุ 19 ปี ทำหน้าที่ พนักงานในคอลเซ็นเตอร์
โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จากการจับกุมผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจยึดของกลาง อาทิ โทรศัพท์มือถือ, บัตร ATM, สมุดบัญชีธนาคาร และอื่น ๆ รวมทั้งสิ้นกว่า 100 รายการ และเงินสดจำนวนกว่า 240,000 บาท
โดยหญิงสาว ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ที่ถูกจับกุม เปิดเผยว่า ตนขอเตือนสังคม ตนเป็นคนพาคนอื่นเข้าไปขายบัญชีในแก๊งนี้ โทษอาจจะหนักกว่าคนอื่น ๆ ขอเตือนทุกคนอย่าหลงเข้ามาขายบัญชี และฝากไปยังเพื่อนที่ยังอยู่ในแก๊งให้ออกมาเพราะมันไม่ดีอย่างที่คิด
โดยคดีนี้ได้ออกหมายผู้ต้องหาไปแล้วทั้งสิ้น 30 หมายจับ สามารถจับกุมได้ 16 ราย แบ่งหน้าที่กันดังนี้ กลุ่มเจ้าของบัญชีม้ารับโอนเงิน จำนวน 16 ราย จับกุมได้ 9 ราย หลบหนี 7 ราย / กลุ่มผู้ถอนเงิน จำนวน 4 ราย จับกุมได้ 2 ราย หลบหนี 2 ราย / กลุ่มจัดหาบัญชีม้า จำนวน 2 ราย จับกุมได้ 2 ราย / กลุ่มพนักงานในคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 6 ราย หลบหนี 6 ราย (อยู่ในกัมพูชา) / กลุ่มชาวจีน ผู้ควบคุมพนักงานในคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 2 ราย หลบหนี 2 ราย (อยู่ในกัมพูชา)
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากกรณีคดีของ สภ.บางแก้ว ซึ่งสาเหตุเกิดมาจากหนี้สินหลายอย่าง รวมทั้งการถูกหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งหลอกโอนเงินผ่านแอปเงินกู้ หลังจากที่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งขบวนการที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวทั้งหมด ตั้งแต่บัญชีม้าจนถึงหัวหน้าขบวนการชาวจีนมากถึง 30 ราย โดยจับกุมแล้ว 12 ราย และสืบทราบว่ากลุ่มเหล่านี้ตั้งออฟฟิศอยู่ที่ปอยเปต กัมพูชา จึงได้ประสานงานกับ พล.ต.อ.ซอ เทต ผบ.ตร.กัมพูชา เพื่อทลายจุดคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว
โดยในวันนี้ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชา สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้เพิ่มเติมอีก 4 ราย ซึ่งทำหน้าที่โทรหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงิน โดยจะนำตัวกลับไทยเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังจากนี้จะได้ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ทางการกัมพูชา เพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่ทั้งหมด เพื่อนำกลับมาดำเนินคดีที่ไทยจนถึงที่สุดต่อไป
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/cH7zI7a7liI
แท็กที่เกี่ยวข้อง บิ๊กโจ๊ก ,แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ,ตำรวจกัมพูชา ,แก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต