'บิ๊กโจ๊ก' เตรียมสอบ 'ญาติคนสำคัญแอม' อาจเป็นคีย์สำคัญของคดี ด้าน 'รองอ๊อฟ-แอม' ร้องไห้ทั้งคู่ บอกสงสารลูก

ศาลให้ประกัน อดีตสามีแอม ชี้ไม่พบพยานบ่งชี้เกี่ยวข้องคดีฆาตกรรม-ไม่มีพฤติการณ์ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน อนุญาตปล่อยชั่วคราว ตีราคาประกัน 1 แสนพร้อมติดกำไล EM ด้านบิ๊กโจ๊กพารองอ๊อฟเข้าเรือนจำ ไปสอบปากคำแอม ไซยาไนด์ แต่ยังไม่รับสารภาพ ยื่นเงื่อนไขกลับขอพบญาติคนสำคัญก่อน ชี้หากได้พบจะให้การอย่างละเอียดเกี่ยวกับคดีทั้งหมด

จากกรณีเหตุสะเทือนขวัญ 'แอม ไซยาไนด์' ได้ตกเป็นผู้ต้องหาในการฆาตกรรมเหยื่อ 15 ราย รอด 1 ราย ซึ่งถือว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์ของประเทศไทย 

วานนี้ (4 พ.ค. 66) นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงสภาพความเป็นอยู่ของแอม โดยมีรายงานว่า

หลังจากแอมเข้าทัณฑสถานหญิงกลางมาแล้ว 9 วัน (นับถึงวันนี้ 5 พ.ค. 66) จากวันแรกที่มีอาการเคร่งเครียด เนื่องจากไม่เคยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกจำกัด อีกทั้งอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ จึงทำให้มีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด จนต้องนำเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์

แต่เมื่อออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ก็มีการปรับสภาพร่างกายและจิตใจ ก็สามารถพูดคุยกับผู้ต้องขังรายอื่นๆได้เป็นปกติ และจนถึงปัจจุบัน แอมก็อยู่ในสภาพที่เหมือนกับผู้ถูกคุมขังทั่วไป ทั้งนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่จากเดิมเคยใช้ชีวิตปกติแล้วมาถูกควบคุม ก็ต้องมีความเครียดเล็กน้อย

-------------

วานนี้ (4 พ.ค. 66) เวลา 14.00 น. ที่สโมสรตำรวจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยถึงภายหลัง เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 66 ศาลจังหวัดนครปฐม อนุมัติหมายจับ พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ รอง ผกก. หรือรอองอ๊อฟ (สอบสวน) สภ.สวนผึ้ง อดีตสามีของนางสาวสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือแอม ใน 2 ข้อหา คือ ร่วมกันรับของโจร และร่วมกันปลอมแปลงเอกสารทางราชการและใช้เอกสารราชการปลอม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ภายหลังสอบปากคำ แล้วเจ้าตัวให้การเป็นประโยชน์อย่างมาก และเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 66 รองอ๊อฟได้บอกว่า ถ้าศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ก็จะแสดงความบริสุทธิ์ใจ ขอคุยกับ น.ส.แอมในเรือนจำเพื่อให้แอมสารภาพทั้งหมด  เชื่อว่าสามารถคุยได้

'บิ๊กโจ๊ก' บอกว่า ที่รองอ๊อฟกลับหลังมาให้ความร่วมมือ เพราะตนได้คุยกับรองอ๊อฟตรงๆว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องนายตำรวจด้วยกัน และคดีนี้สังคมได้ชี้ไปแล้ว อีกทั้งศาลยังออกหมายจับ อะไรที่เป็นประโยชน์ก็ต้องช่วยตัวเอง ให้รับสารภาพ ให้ไปคุยกับแอม เพื่อให้แอมให้การเป็นประโยชน์ ทำหนักให้เป็นเบา

---------------

ในวันและเวลาเดียวกัน 'บิ๊กโจ๊ก' เชิญตัว 'น.ส.น้อยหน่า' ซึ่งเป็นภรรยาน้อยของรองอ๊อฟมาสอบปากคำ เนื่องจากพบว่าเป็นบุคคลใกล้ชิด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ภายหลังสอบปากคำ แล้วเจ้าตัวให้การเป็นประโยชน์อย่างมาก และยืนยันชัดเจนว่า ตัวเองคบหากับรองอ๊อฟ ได้ 5 เดือน และไม่ได้รู้รายละเอียดเยอะ

โดยในวันที่ทั้งหมดไปหัวหินนั้น ก็ไปภายหลังจากที่ก่อเหตุแล้ว ส่วนที่เมืองกาญจนบุรี เขาก็ไปด้วยกันหมดเช่นกัน

นอกจากนี้ น.ส.น้อยหน่า ยังให้การว่า น.ส.แอม ยินยอมให้คบกับรองอ๊อฟได้ แต่ความเป็นจริงก็มีแสดงอาการหึงหวง ซึ่ง น.ส.น้อยหน่า ก็เกิดความสงสัย อย่างตอนไปเมืองกาญจนบุรี น.ส.แอม ก็นอนหมกตัวอยู่แต่ในห้องพัก ไม่ได้ออกไปไหน

ซึ่งวิธีการแบบนี้ สำหรับแนวทางตำรวจมองว่า เป็นการอ้างสถานที่ที่หนึ่งหลังจากการก่อเหตุ โดยใช้ น.ส.น้อยหน่าเป็นพยานเพื่อยืนยันว่า ในวันเกิดเหตุคนเหล่านี้อยู่ในสถานที่ดังกล่าว  และน้อยหน่าก็ไม่รู้เรื่องว่าตัวเองถูกใช้เป็นพยานเพื่อยืนยันถิ่นที่อยู่ เรียกได้ว่าหลอกใช้ประโยชน์

สำหรับการที่ น.ส.แอม ยอมให้ไปทั้งสองที่นั้น ส่วนนี้ได้มีการสอบปากคำไว้ในสำนวนแล้ว
---------------
วานนี้ ช่วงบ่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวรองอ๊อฟเข้าตรวจค้นบ้านพักที่จังหวัดนครปฐม และบ้านพักของ น.ส.แอม ที่จังหวัดกาญจนบุรี

ผลการตรวจค้นบ้านของรองอ๊อฟวันนี้ เบื้องต้น พบวัตถุหลายอย่าง เช่น ภาชนะหรือห่อต่างๆ ในรถ ซึ่งได้ส่งให้ทางพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบแล้วว่า มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับคดีหรือไม่

ต่อมาเวลา 17:50 ตำรวจ สภ.เมืองนครปฐม ได้นำตัวรองอ๊อฟ ออกจากทัณฑสถานหญิงกลาง โดยนำตัวกลับไปที่ จ.นครปฐม
---------------
วานนี้ (4 พ.ค. 66) ที่ศาลจังหวัดนครปฐม พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนครปฐม ขอฝากขัง พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ ผู้ต้องหา อดีตสามีนางสรารัตน์ หรือ 'แอม ไซยาไนด์' ถูกกล่าวหาร่วมกันรับของโจร ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม ซึ่งผู้ต้องหาถูกจับกุมตัว และส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2566 ครั้งที่ 1

โดยศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่าสอบผู้ร้องแล้วได้ความว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้สืบสวนคดีนี้ตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.2566 จนถึงปัจจุบัน ยังไม่พบพยานหลักฐานที่บ่งชี้ หรือยืนยันว่าผู้ต้องหามีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม มีเพียงความเกี่ยวพันเฉพาะคดีนี้

ประกอบกับ เจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจค้นบ้านพักที่ผู้ต้องหากับนางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ แจ้ง ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ต้องหาจะยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานแต่อย่างใด

ส่วนรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีธนาคารนั้นบันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์บุคคลภายนอก ไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ ผู้ต้องหาประสงค์ที่จะไปพบนางสรารัตน์ หรือแอม ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง พร้อมเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อพูดคุย และหากนางสรารัตน์ได้กระทำผิดจริงก็ขอให้การรับสารภาพ กรณีนี้จึงไม่มีเหตุที่จะหมายขังผู้ต้องหา จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยตีราคาประกัน 100,000 บาท และใส่กำไล EM
---------------

วานนี้ เวลา 16:40 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมายังทัณฑสถานหญิงกลางเพื่อสอบปากคำ น.ส.แอม  โดยทันทีที่เดินทางมาถึงรถยนต์ได้ขับเข้าไปภายในทัณฑสถานหญิงกลางทันที ซึ่งขณะนั้น ยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอย่างแต่อย่างใด

หลังจากการสอบปากคำ น.ส.แอม ภายในทัณฑสถานหญิงกลาง ซึ่งนำการสอบปากคำโดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมกับการพูดคุยกับ รองอ๊อฟ อดีตสามี น.ส.แอม

จากนั้นเวลา 17:20 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวหลังสอบปากคำ น.ส.แอม  ในทัณฑสถานหญิงกลาง พร้อมกับการนำรองอ๊อฟ ซึ่งใช้เวลาสอบประมาณเกือบประมาณ 30 นาที ว่า น.ส.แอมยังคงไม่ให้การยอมรับสารภาพในคดีนี้ เนื่องจากมีความประสงค์ว่าจะขอพบญาติของแอมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นญาติผู้หญิงคนสำคัญและแอมไว้วางใจที่สุด อยู่ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 7 แต่ไม่ระบุชัดว่าจังหวัดอะไร

ทั้งนี้ น.ส.แอมได้ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ว่า เมื่อพบญาติคนนี้แล้ว ก็พร้อมที่จะให้การอย่างละเอียดเกี่ยวกับคดีทั้งหมดแก่ตำรวจ แต่ญาติคนนี้ยังขอสงวนชื่อและไม่เปิดเผยว่าเป็นใคร อย่างไรก็ตาม ญาติคนนี้ยังไม่เคยถูกตำรวจเรียกมาให้ข้อมูลแต่อย่างใด โดยเตรียมจะประสานให้ญาติคนนี้มาพบกับ น.ส.แอม ภายในวันนี้ (5 พ.ค. 66) เวลา 10:00 แต่ต้องดูความสะดวกของญาติคนดังกล่าวอีกที

-------------

ส่วนบรรยาการการสอบปากคำ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในห้องสอบมีตน นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 2 นาย รองอ๊อฟ และน.ส.แอม โดย น.ส.แอมไม่ได้มีการร้องขอใด ๆ จากทางตำรวจ

แต่ปรากฎว่าทั้งแอมและรองอ๊อฟต่างฝ่ายต่างก็ร้องไห้ เนื่องจากรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกต้องมาเดือดร้อนและทำให้รองอ๊อฟต้องถูกดำเนินคดีถึงขั้นออกจากราชการ ทั้งนี้ทางรองอ๊อฟก็พยายามพูดคุยเกลี้ยกล่อมให้แอมรับสารภาพตามประสาคนรักเก่า แต่ทาง น.ส.แอมก็ยังไม่รับสารภาพและมีท่าทีที่เครียด ส่วนรองอ๊อฟไม่ได้มีท่าทีที่เครียดแต่อย่างใด

ซึ่งสิ่งที่รองอ๊อฟได้พูดจนจี้จุดสะเทือนใจแก่ น.ส.แอมคือ ประเด็นของลูกที่ต้องมาเดือดร้อนและจะมีที่ยืนในสังคมอย่างไร กับตัวรองอ๊อฟที่ถูกออกจากราชการจะไปทำมาหากินอย่างไร ทำให้แอมเกิดรู้สึกผิดแล้วบอกว่า ทั้งหมดนี้เกิดจากการกระทำของตนเอง รู้สึกเป็นห่วงลูกที่ตกเป็นจำเลยสังคม แต่ยังไม่รับสารภาพว่าได้ลงมือก่อเหตุฆาตกรรมหรือไม่

ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มองว่า การให้การครั้งนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่เข้าใจว่าการที่จะให้ผู้ต้องหารับสารภาพต้องทำให้ผู้ต้องหาสบายใจ ฉะนั้น ก็ต้องเป็นไปตามการร้องขอของ น.ส.แอมที่จะขอพบญาติคนหนึ่งก่อน และรับปากว่าจะให้การทั้งหมดเกี่ยวกับคดี

ทั้งนี้ ตนก็ยังช่วยบอก น.ส.แอมไปว่า ตอนนี้ น.ส.แอมโดนเกือบจะ 10 กว่าคดี ต้องจ้างทนายคดีละ 150,000 บาท แล้วจะมีเงินจ้างหรือไม่ ขอให้คิดดีๆ แต่ก็ยังไม่รับสารภาพและทนายความแอมก็ยังเป็นคนเดิม

ส่วนกรณีที่รองอ๊อฟได้รับการประกันในชั้นศาลด้วยวงเงิน 100,000 บาท ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่าเป็นการให้ปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อมาช่วยพูดคุยกับแอมในการนี้เท่านั้น หลังจากนี้ก็เตรียมจะพูดคุยกับคณะทำงานคดีว่าจะดำเนินการควบคุมจับตาดูรองอ๊อฟอย่างไรต่อไป ซึ่งหลังจากนี้ยังไม่มีประเด็นใดๆ ในการสอบรองอ๊อฟเพิ่ม

อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่ารองอ๊อฟมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับการฆาตกรรม 14 ศพหรือไม่ แต่สิ่งที่ต้องทำคือนอกจากการสอบสวนสืบสวนหาพยานหลักฐานแล้ว จะต้องพยายามทำให้ น.ส.แอมรู้สึกผิดชอบชั่วดีและมีสำนึกผิดในจิตใจให้ได้ จึงมีความหวังว่า จากการพบญาติของแอมในวันนี้จะทำให้ น.ส.แอมรับสารภาพ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการดำเนินคดี แต่ถ้าไม่รับ ก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้ศาลลงโทษให้ได้

การที่แอมผสมไซยาไนด์บ่อย โดยผสมสารไซยาไนด์เข้าไปในสมุนไพรและยัดใส่แคปซูลที่สามารถพร้อมให้เหยื่อรับประทานได้ทันที ทำให้แอมมียาต้านไซยาไนด์ แสดงว่ามีการป้องกันเป็นอย่างดี เพราะไซยาไนด์เป็นสารอันตรายมาก อีกทั้ง การใช้ยาต้านต้องฉีดเข้าเส้นเลือดดำ แสดงว่าคนที่ฉีดยาได้ต้องเป็นพยาบาล จึงต้องไปไล่ตรวจสอบว่า ใครเป็นพยาบาลที่อยู่ใกล้ตัวเขา ซึ่งก็คือพี่สาว การที่แอมมียาต้านพิษแสดงว่ามีการเตรียมการไว้อย่างรอบคอบ ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์มองว่า เรื่องนี้สามารถทำเป็นซีรีส์ได้เลย
-------------

รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/8z06PF3hP6k