อาชญากรรม
ศาลฯ สั่งจำคุก 18 ปี 24 เดือน ‘อดีต ผอ.-รอง ผอ.’ สามเสนวิทยาลัย คดีเรียกแป๊ะเจี๊ยะ
โดย attayuth_b
24 เม.ย. 2567
437 views
วันนี้ (24 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษา คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ฟ้อง นายวิโรฒ สำรวล อดีต ผอ.โรงเรียนมัธยมสามเสนวิทยาลัย นายภูสิทธิ์ ประยูรอนุเทพ จำเลยที่ 2 ในฐานะ รอง ผอ. และนายประเจิน โชติพงศ์กุล จำเลยที่ 3 ในฐานะครูชำนาญการพิเศษ เป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ
กรณีร่วมกันกระทำความผิดด้วยการเรียกรับเงินบริจาคจากผู้ปกครองนักเรียน โดยไม่นำเข้าระบบการเงินเพื่อเป็นรายได้ของโรงเรียน และร่วมกันเบียดบังเงินบริจาคไปโดยทุจริต
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 3 ว่า ในระหว่างเดือน ม.ค. - มิ.ย.2560 นายวิโฒ จำเลยที่ 1 และนายภูสิทธิ์ จำเลยที่ 2 ในฐานะ ผอ. และรองผอ.โรงเรียน และนายประเจิน โชติพงศ์กุล จำเลยที่ 3 ครูชำนาญการพิเศษ ร่วมกันกระทำความผิดด้วยการเรียกรับเงินบริจาคจากผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 6 คน โดยไม่นำเข้าระบบการเงินเพื่อเป็นรายได้ของโรงเรียน แล้วร่วมกันเบียดบังเงินบริจาคไป เป็นของจำเลยทั้งสองโดยทุจริต
และยังร่วมกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นครูในโรงเรียนฯ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจหรือจูงใจให้เจ้าหน้าที่การเงินเเละบัญชีของโรงเรียน กรอกข้อความลงในเอกสารใบเสร็จรับเงิน ซึ่งไม่ตรงต่อความจริงอันเป็นการกระทำโดยทุจริตต่อหน้าที่
ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1-2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147มาตรา 148 มาตรา 157 และมาตรา 162(1), (5) ประกอบมาตรา 86,90, 91 ตาม พ.ร.บ..ว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542ฯ
จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 มาตรา 157 และมาตรา 162(1), (4) ประกอบมาตรา 86 มาตรา 90 และมาตรา 91 ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ประกอบ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และขอให้ริบทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตกเป็นของแผ่นดินโดยที่พวกจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในความผิดฐานร่วมกันเบียดบังเงินบริจาคนั้น โจทก์มีผู้ปกครอง 6 คน ให้การยืนยันว่า จำเลยที่ 1,2 ร่วมกันรับเงินบริจาคที่ประสงค์จะมอบให้ฯ เพื่อให้บุตรหลานได้รับการพิจารณาให้เข้าศึกษาในโรงเรียน ประเภทเงื่อนไขพิเศษแต่กลับไม่มีการออกใบเสร็จรับเงินให้ ซึ่งจำนวนเงินที่ผู้ปกครองกล่าวอ้างนั้นก็สอดคล้องกับหลักฐานการถอนเงินจากบัญชีธนาคารและต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1,2 มาก่อน
ที่จำเลยทั้งสอง นำสืบสู้คดีว่า เงินที่ได้รับมานั้นได้นำไปมอบให้คณะกรรมการภาคีเครือข่ายการรับนักเรียนและการระดมทรัพยากร เพื่อมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาที่จำเลยที่ 2 ทำการแต่งตั้งนั้น แต่การจัดตั้งคณะกรรมการภาคีเครือข่ายดังกล่าว ไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งไม่เป็นไปตามแนวทางในการปฏิบัติการระดมทรัพยากรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
อีกทั้งการรับมอบเงินโดยคณะกรรมการดังกล่าวต้องปฏิบัติตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ.2551 และระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า ด้วยการบริหารจัดเก็บเงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2551 แต่คณะกรรมการดังกล่าวกลับทำผิดระเบียบทั้งหมด
เนื่องจากเมื่อรับมอบเงินบริจาคมา ก็ไม่มีการออก ใบเสร็จรับเงินให้และไม่นำเงินบริจาคไปเข้าบัญชีเงินฝากของโรงเรียนในทันที แต่นำเงินไปเก็บไว้ในตู้เซฟที่อยู่ในห้องทำงานของจำเลยที่ 2 ซึ่งไมใช่ตู้เซฟของทางราซการ ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีหน้าที่รับเงินบริจาคไม่ใช่กรรมการเก็บรักษาเงินและตรวจนับเงินที่โรงเรียนแต่งตั้งขึ้นมา
ซึ่งเงินที่เก็บไว้ในตู้เซฟตามระเบียบต้องเก็บไว้ได้ไม่เกินวันละ 30,000 บาท และเก็บไว้ในตู้เซฟได้ไม่เกิน 3 วัน แต่จำเลยกลับเก็บเงินไว้มากกว่า 3 วัน ไม่มีการตรวจนับเงินบริจาคที่ได้รับมาในทันทีเพื่อนำเข้าระบบบัญชีของโรงเรียนเพื่อลงทะเบียนคุมรายรับเงินได้สถานศึกษา และยังเก็บเงินไว้เป็นจำนวนมากถึงหลักล้าน โดยไม่สามารถตรวจสอบยอดเงินที่แน่นอนได้
ดังนั้นการแต่งตั้งคณะกรรมการภาคีเครือข่ายดังกล่าวจึงเป็นการแต่งตั้งที่ไม่ชอบและไม่มีอำนาจในการระดมทรัพยากรเพื่อเก็บรักษาเงินไว้แทนโรงเรียนได้ และยังพบพิรุธว่า ระหว่างที่มีการเก็บเงินบริจาคไว้นั้น ปรากฏว่า มีคลิปวีดีโอที่ตัวแทนผู้ปกครองแอบบันทึกไว้ขณะที่มีการส่งมอบเงินบริจาคให้แก่จำเลยทั้ง 2 เผยแพร่ทางสื่อสารมวลชน
หลังจากจำเลยที่ 1 แถลงข่าวแล้ว จำเลยทั้ง 3 จึงรีบตามเจ้าหน้าที่การเงินมาออกใบเสร็จรับเงินย้อนหลังให้และในใบเสร็จไม่มีการระบุชื่อผู้บริจาค ซึ่งไม่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้แล้วรีบนำเงินบริจาคเข้าระบบบัญชีเงินฝากของโรงเรียน อันเป็นการกระทำเพื่อปกปิดความผิดของตนและความผิดสำเร็จลงแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสอง จึงไม่อาจรับฟังได้
ส่วนความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจหรือจูงใจให้เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีของโรงเรียน กรอกข้อความลงในเอกสารใบเสร็จรับเงินอันเป็นเท็จและฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสารอันเป็นเท็จและมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อในใบเสร็จรับเงิน ไม่มีหน้าที่โดยตรงในการออกใบเสร็จรับเงิน
ส่วนจำเลยที่ 1 มิได้ร่วมลงลายมือชื่อ และจำเลยที่ 3 ก็ไม่มีหน้าที่โดยตรงและไม่มีหน้าที่โดยทั่วไปเกี่ยวกับการออกใบเสร็จรับเงิน และการข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดนั้น
ดังนั้นการที่จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันให้เจ้าหน้าที่การเงินกรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน มิใช่การมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และการกระทำของจำเลยทั้ง 3 ไม่ได้บังคับข่มขืนใจเจ้าหน้าที่การเงิน เป็นการกระทำโดยสมัครใจเอง การกระทำของจำเลยที่ 1,2 จึงไม่เป็นความผิดตามข้อหาดังกล่าว และจำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนด้วย ขอต่อสู้ของพวจำเลยที่1,2 จึงไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
ศาล พิพากษาว่า “จำเลยที่ 1,2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ให้จำคุกจำเลยที่ 1,2 กระทงละ 5 ปี รวม 6 กระทง เป็นจำคุกจำเลยที่ 1,2 คนละ 30 ปี ทางนำสืบและคำรับของจำเลยทั้งสอง เป็นประโยชน์แก่ การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้จำเลยที่ 1,2 กระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
จำคุกจำเลยที่ 1,2 กระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 6 กระทง คงจำคุกจำเลยที่ 1,2 คนละ 18 ปี 24 เดือน และให้จำเลยที่ 1,2 ร่วมกันชำระเงินหรือแทนกันชำระเงินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจ คำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นเงิน 700,000 บาท โดยให้ริบเงินจำนวนดังกล่าวให้ตกเป็นของแผ่นดิน ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ข้อหาอื่นและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ภายหลังฟังคำพิพากษาจำเลย ที่ 1,2 ยื่นคำร้องขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิจารณาแล้วเห็นควรส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราว เพื่อมีคำสั่งต่อไป จึงต้องนำตัวจำเลยทั้ง 2 ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อน เพื่อรอคำสั่งประกันตัวจากศาลอุทธรณ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 1-3 วัน
แท็กที่เกี่ยวข้อง แป๊ะเจี๊ยะ ,จำคุก ,ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ,สามเสนวิทยาลัย