อาชญากรรม

'จ่าคลั่ง' ยิงเพื่อนร่วมงานดับ 2 เจ็บ 1 ครอบครัวเผยมีอาการทางสมอง ก่อนเกิดเหตุน้อยใจผู้บังคับบัญชา

โดย panisa_p

14 ก.ย. 2565

200 views

ทหารที่ก่อเหตุยิงเพื่อนร่วมงานวิทยาลัยการทัพบก ยังถูกควบคุมตัวที่ สน.ดุสิต เพื่อสอบปากคำ ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อกล่าวหา และส่งตัวฝากขังต่อศาลทหาร และต้องตรวจสอบกรณีผู้ต้องหามีอาการทางประสาท ซึ่งเป็นเหตุผลที่กล่าวอ้างว่าเป็นมูลเหตุในการกรายิง โดยทางตำรวจจะสอบสวนหามูลเหตุที่แท้จริง ยืนยันว่าไม่เลือกปฏิบัติ


นี่คือภาพนาทีที่ตำรวจควบคุมตัว จ่าสิบเอกยงยุทธ มังกรกิม ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงเพื่อนร่วมงาน กองธุรการ วิทยาลัยกองทัพบก เสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 1 นาย เมื่อเวลา 08.45 น. ภายในสำนักงาน ก่อนจะหลบหนีออกไป และทางเจ้าหน้าหน้าทหารและตำรวจร่วมกันเกลี้ยกล่อมให้มอบตัวและเข้าควบคุมตัวได้ในเวลา 10.00 น. และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในที่สุด


ส่วนผู้บาดเจ็บ จ.ส.อ ยงยุทธ์ ปัญญานุวัฒน์ ถูกยิงที่แขนบริเวณชั้น 1 ขณะที่ผู้เสียชีวิต 2 รายถูกยิงที่ ชั้น 3 โดยจ่าสิบเอกนพรัตน์ อินทสุนทร ถูกยิงที่ศรีษะ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วน จ่าสิบเอกประการ สินส่ง เสียชีวิตที่โรงพยาบาล ทั้งหมดเป็นเพื่อนร่วมงานของ จ่าสิบเอกยงยุทธ อายุ 59 ปี ในวัยเดียวกัน


พยานที่เป็นเพื่อนร่วมงานมาให้การต่อพนักงานสอบสวนที่ตำรวจนำตัวจ่าสิบเอกยงยุทธ มาสอบปากคำ เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุเขาได้ยินเสียงปืน จึงพากันหลบภัยอยู่ในห้อง โดยก่อนหน้านี้ก็พอทราบว่า จ่าสิบเอกยงยุทธ มีอาการทางสมอง หลังประสปอุบัติเหตุมากว่า 10 ปีแล้ว แต่ไม่ได้สนิทกันจึงไม่ทราบว่าอาการเป็นอย่างไร


ระหว่างถูกควบคุมตัวมาให้ปากคำที่ สน.ดุสิต ครอบครัวของจ่าสิบเอก ยงยุทธ มาร่วมให้ปากคำด้วย และลูกต้องคอยสื่อสารให้กับตำรวจ เนื่องจาก จ่าสิบเอกมีอาการทางสมอง จากอุบัติเหตุเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ที่ผ่านมาต้องพบแพทย์และทานยามาโดยตลอด ซึ่งในการสอบปากคำ มีนายทหารพระธรรมนูญมาร่วมด้วย ซึ่งหลังตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา จะต้องนำตัวฝากขังต่อศาลทหาร


โดย พลตรี บุรินทร์ ทองประไพ ผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก เปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุมีอาการป่วยทางสมอง ที่เคยมีประวัติใช้ความรุนแรงกับคนในครอบครัว และก่อนเกิดเหตุเคยมีอาการน้อยใจ ผู้บังคับบัญชาที่ไม่ได้สั่งงาน เนื่องจากทางผู้บังคับบัญชาเห็นว่ามีอาการป่วยจึงดูแลอย่างดี


จากการสอบสวนไม่พบว่าผู้ก่อเหตุมีปัญหาส่วนตัวกับผู้ตาย แต่มีอาการกำเริบ จึงนำอาวุธปืนส่วนตัว มาใช่ก่อเหตุยิงเพื่อนร่วมงาน ตั้งแต่ชั้น 1 ถึง ชั้น 3 และหลายคนพากันหลบหนีด้วยความหวาดกลัว ยืนยันว่าสถานที่ราชการของกองทัพบก ไม่อนุญาตให้นำอาวุธปืนมาด้วย แต่ในกรณีมีการแอบนำเข้ามาก่อเหตุ และหลังจากพนักงานสอบสวนสอบปากคำแล้วเสร็จก็ต้องนำฝากขังต่อศาลทหารที่ยังไม่ใช่วันนี้


พ.ต.ต.นิติธร จินตกานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ชี้แจงว่าเหตุการณ์ยิงกันวันนี้ ไม่เหมือนเหตุกราดยิงที่โคราช เพราะเกิดภายในสถานที่ราชการ และควบคุมสถานการณ์ได้เร็ว และเหตุที่ตำรวจไม่ใส่กุญแจมือขณะควบคุมตัวเพราะก่อนหน้านั้นผู้ต้องหามีปืน จึงลดแรงกดดัน ไม่ได้เลือกปฏิบัติ และพนักสอบสวนจะดำเนินคดีไปตามกฏหมาย เบื้องต้นกรณีผู้ต้องหามีอาการป่วย ก็ต้องมีคำยืนยันจากแพทย์ และพบว่ามีประวัติชอบเล่นปืน จึงต้องสืบสวนหามูลเหตุจูงใจอย่างละเอียด


สำหรับขั้นตอนหลังสอบปากคำแล้วเสร็จ พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต จะแจ้งข้อกล่าวหา โดยมีอำนาจควบคุมตัวไวั 48 ชั่วโมง ก่อนส่งศาลทหาร เพื่อฝากขังในขั้นตอนการดำเนินคดี ส่วนกรณีอาการป่วย ต้องเรียกแพทย์มาสอบสวน หรืออาจต้องส่งไปตรวจอาการกับแพทย์ ทางพนักสอบสวนจะพิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบ


สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในหน่วยงานของกองทัพบก ที่มีการแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นข้าราชการทหารด้วยกัน และมีการตั้งคำถามต่อการพกพาอาวุธในสถานที่ราชการ รวมถึงการให้ผู้มีอาการป่วยทางประสาท ยังมาทำงานตามปกติได้หรือไม่ โดยทางพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าต้องให้หน่วยงานบังคับบัญชาตรวจสอบ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก

คุณอาจสนใจ

Related News