คณะราษฎร ที่ร่วมกับเครือข่าย people go และกลุ่ม อันมี ออก อานาชี เดินเท้าจากอ.เมือง จ.นครราชสีมา มาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กรุงเทพมหานคร ระยะทาง 247.5 กิโลเมตร ใช้เวลา 17 วันเดินเท้าอย่างสันติวิธี ท่ามกลางการสนับสนุนของประชาชนที่มร่วมเดินเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังทางการเมือง ยกเลิกมาตรา 112 แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก 

ซึ่งหนึ่งในผู้ร่วมเดินเป็นครอบครัวของผู้ถูกดำเนินคดี 112 ทั้งแม่ของ เพนกวิ้น พริษฐ์ ชิวารักษ์ ลูกสาวของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และแม่ของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ที่ถูกดำเนินคดี 112 และวันพรุ่งนี้ อัยการจะมีคำสั่งฟ้องและยื่นฟ้องต่อศาลอาญา จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 กันยายน ร่วมกับเพื่อนรวม 18 คน ถ้าหากถูกฝากขัง ก็จะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับ 4 คนที่มีนายอานนท์ นำภา และนายปฏิวัติ สาหร่ายแย้ม ที่ถูกฝากขังนาน 1 เดือนแล้ว ซึ่งแม่เพนกวิ้น ยังคาดหวังที่ลูกจะได้รับการประกันตัว ขณะที่แม่ของไผ่ จตุภัทร เห็นว่า ความยุติธรรมคือการได้สิทธิในการต่อสู้คดีตามกฏหมาย

นายจตุภัทร ยอมรับว่าการเดินเท้า ท่ามกลางแดดร้อน คือการออกมาเพื่อยืนยันถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่ยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำของผู้คน ทั้งเรื่องสิทธิที่ดินของชาวบางกลอย ปัญหาเหมืองและความไม่ยุติธรรมของคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม จึงขอต่อสู้อย่างสันติ และไม่หวั่นไหวกับการต้องถูกจำคุก แต่ออกมายืนยันว่า ทุกคนมีสิทธิ์ต่อสู้และไม่ควรถถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี

การชุมนุมของกลุ่มราษฎร ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยยังเปิดเวทีปราศรัยถึงปัญหาชาวบางกลอย ที่ล่าสุดแม้ชาวบางกลอย 22 คนจะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำกลางเพชรบุรี แต่เป็นการปล่อยตัวแบบมีเงื่อนไขที่ห้ามไม่ให้ชาวบ้านขึ้นไปบริเวณบางกลอยบน หากฝ่าฝืนจะถูกจับปรับ 50,000 บาทและถอนประกัน โดยที่ชาวบ้านไม่มีสิทธิ์ปรึกษาทนาย สะท้อนถึงความไม่ยุติธรรม การอ้างสิทธิ์กฏหมายจับกุมโดยไม่เคยมีการพิสูจน์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่ทำให้ชาวบางกลอยต้องออกมาเรียกร้องสิทธิของความเป็นคนที่ คนต้องเท่ากัน ชาติพันธุ์ก็คือคน