ข่าวโซเชียล

อุทาหรณ์ เส้นเลือดสมองแตกในเด็ก

โดย onjira_n

28 มี.ค. 2565

9.4K views

ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Tanapol Teshatanadirek ได้โพสต์เรื่องอาการป่วยของลูกชายตนเอง ที่เป็นโรคเส้นเลือดสมองแตกจนทำให้เสียชีวิต โดยโพสต์เล่าว่า " เส้นเลือดสมองแตกในเด็ก

เป็นอาการที่เกิดขึ้น ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดกับเด็ก เพราะส่วนใหญ่จะเกิดในผู้ใหญ่ ที่มีปัญหาทางสุขภาพอื่นเป็นปัจจัย เช่นความดัน หรือความเสื่อมของเส้นเลือดในสมอง แต่ลูกผมอายุแค่12ปี เหมือนมีอาการปวดหัว ที่ไม่เรื้อรัง ที่เป็นแล้วหาย นานๆจะเป็นครั้งนึง ปีนึง แค่2-3ครั้ง ให้ไปทานข้าว หรืออาบน้ำ ก็หาย ไม่มีอะไรผิดสังเกตุ

เช้าวันที่17 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 8.00น. ลูกชายตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัว ร้องปวดหัวมาก ตื่นลงมาเพื่อให้ผู้ใหญ่ช่วย คุณแม่ลองให้ทานพาราไป1เม็ด แล้วใช้เจลเย็นๆประคบ ทุกคนเตรียมตัวพาไปหาหมอเพราะรู้สึกแปลก ผ่านไป สักครู่ประมาณ10กว่านาที ดูอาการไม่ดีขึ้น ลูกเริ่มบ่นว่าหูอื้อ คุณแม่มาดูอาการ เหมือนเริ่มนิ่ง คุณแม่ถามอาการว่าดีขึ้นไหม ลูกค่อยตอบช้าๆแค่พยักหน้า แล้วหมดสติไป แล้วทิ้งตัว ตาปรือ เหมือนหลับแต่ปิดตาไม่สนิท เปิดเปลือกตาดู ตาลอย ไม่ทันสังเกตุว่าม่านตาเปิดหรือไม่ ทุกคนรีบอุ้มน้องเพื่อจะไป รพ. ในทันที ที่บ้านอยู่ฝั่งคลองต้องข้ามเรือ และต้องไปเอารถ ตอนนั้นพี่ชายก็ตัดสินใจโทรตาม พี่อีกคนที่ทำงานอยู่ไม่ไกลให้มาทันที และให้พี่ชายช่วยแจ้ง กู้ภัยให้ติดต่อ รถฉุกเฉินให้ทันที ทุกคนพยายามอุ้มน้อง แต่น้องทิ้งตัว ไม่สามารถอุ้มได้  จนต้องเอารถเข็นที่มีในบ้านให้น้องนั่งแล้วประคองตัวไป เพื่อลงเรือ ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ข้ามเรือมาที่ฝั่งวัดที่จะออกถนนได้ รถของพี่ชายแฟน ก็มารอแล้ว ทุกคนพยายามช่วยอุ้ม จะพาไป รพ.ให้เร็วที่สุด แต่ก็มีคนในชุมชนให้แวะเข้าศูนย์พยาบาลที่อยู่ก่อนออกไปถนนใหญ่ (ถือว่าโชคดีมาก ที่มีสถานพยาบาลที่มีเครื่องช่วยปั้มหายใจพร้อม) และน้องเริ่มหายใจแผ่วลงแล้ว ระหว่างที่รถฉุกเฉินกำลังเดินทางมาน้องเข้ามารอที่ศูนย์ทันที จนท.พยาบาลรีบมาดูให้ แจ้งว่า ต้องใช้ที่ช่วยหายใจ  ไปเลยไม่ได้ต้องให้รถพยาบาลที่มี จนท. ใช้เครื่องช่วยหายใจได้ มารับเท่านั้น เพราะถ้าไประหว่างทาง น้องหมดลมหายใจ ภายในไม่กี่นาทีแน่นอน วันนั้น มีรถกู้ภัยมารอแล้ว รถพี่ชายก็พร้อม แต่ไปไม่ได้ ทุกคนรอรถจากศูนย์เอราวัณ ที่ติดต่อได้เร็วที่สุด กำลังเดินทางมา ใช้เวลารออยู่พอสมควร ช่วงเวลานั้น น้องใช้ที่ช่วยหายใจของศูนย์ฯ ประคองลมหายใจให้น้อง ทุกคนทำดีที่สุดทุกอย่าง ไม่มีเสียเวลาอะไร ทุกอย่างที่ทำดูราบรื่น รถพยาบาลมา รับน้องขึ้นทันที จนท. ประเมินอาการน้อง ต้องไป รพ.ที่ใกล้ที่สุด รีบโทร.ติดต่อล่วงหน้า แต่ถูกปฏิเสธ ว่าไม่มีเตียงพอรองรับ แต่ จนท.ถามมาว่า จะไปไฟท์ที่หน้าห้องฉุกเฉินนะ ระหว่างทางก็โทรติดต่อ รพ.ใกล้เคียง เพื่อเป็นทางเลือก ท้ายที่สุด ก็ไปรพ.ที่ใกล้ที่สุด และเป็น รพ.ที่น้องรักษาประจำ ติดต่อหมอที่เคยเป็นเจ้าของไข้ประจำของน้องตอนอยู่บนรถติดต่อทุกหนทางที่ช่วยได้ รถฉุกเฉินวิ่งสวนเลนแบบที่อันตรายมาก มาถึงรพ.เร็วมาก พอมาถึงห้องฉุกเฉิน จนท. รพ. เห็นอาการน้อง ก็ให้เข้าห้องฉุกเฉินได้ทันที ทุกอย่างยังราบรื่น แพทย์เด็กประจำห้องฉุกเฉินเข้ามาดูอาการทันที จนท.รถเอราวัณ ส่งแฟ้มการพยาบาลน้องที่อยู่บนรถส่งต่อและอธิบายทุกอย่างทันที แพทย์เด็กประเมินในทันทีว่าเป็นอาการทางสมอง โทรตามแพทย์ทางสมอง และแพทย์ประจำของน้อง ทุกท่านมาทันทีไม่ถึงนาที สรุปให้สแกนสมอง แล้วตามแพทย์เฉพาะทางผ่าตัดสมอง ถึงตอนนี้ใช้เวลาไปกว่า 1ชม. โดยไม่มีอะไรสะดุด ใช้เวลา CT scan ไม่นาน แพทย์ผ่าตัดสมองอ่านผล แล้วตาม ผมและแฟนมาฟังทันทีว่าต้องผ่าตัดเอาเลือดในสมองออก ตำแหน่งที่เลือดออก ถือว่าเป็นจุดสำคัญมาก อยู่บริเวณ "ก้านสมอง" โอกาสน้อยมาก ต้องดูหลังจาก เอาเลือดที่ออกมาก่อนถึงจะแจ้งได้ว่าอย่างไร ผมเซนต์เอกสารทุกอย่างให้ รพ. ทำการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด เคสนี้ อยู่ในข่าย คนไข้วิกฤต ที่รัฐช่วยค่ารักษาพยาบาลใน72ชม. รพ.ไม่ถามอะไรมาก แค่ถ้าน้องมีประกัน ขอบัตรประกันสุขภาพน้องเพื่อเบิกตามสิทธิ์ก่อน จนท.ดำเนินการควบคู่กับการเตรียมผ่าตัด ไม่ถึงครึ่งชม.จากตอนที่ถึงห้องฉุกเฉิน ทุกอย่างดำเนินการอย่างราบรื่น ผมแฟน และพี่ชายแฟน ทั้งหมดมารอหน้าห้องผ่าตัด แพทย์ทั้งหมดที่มาดูน้องเข้าห้องผ่าตัดทั้งหมด พยาบาลแจ้งว่าใช้เวลา ประมาณ1-2 ชม. เราทบทวน ภาพสแกน และคำชี้แจง จาก แพทย์ที่ผ่าตัดสมอง เรามีความหวังน้อยมาก ทุกคนทำทุกอย่าง ดีที่สุดแล้ว แต่ความหวังริบหรี่มาก อารมณ์ตอนนั้นบีบหัวใจมาก ลืมหายใจเกือบตลอดเวลาที่นั่งรอ มองไปทุกคนไม่มีอะไรจะพูด น้ำตาคลอกันทุกคน แต่ทุกคนก็ยังให้ความหวัง บอกน้อง"ต้องสู้นะ" เวลาประมาณเที่ยง การผ่าเอาเลือดที่ออกในช่องสมอง ตรงบริเวณก้านสมองเสร็จ พยาบาลเอาเอกสาร การขอฉีดสีมาให้ผมเซนต์ ผมไม่รีรอ รู้สึกมีความหวังว่า แพทย์ยังตัดสินใจฉีดสี น้องน่าจะมีอะไรที่บ่งบอกว่า ยังไหวหากฉีดสี เรารออีกประมาณ ครึ่งชม. จนท.พาน้องมาที่ICU แพทย์ทุกท่าน ที่เข้าไปยืนรอหน้าเตียงน้อง แล้วแพทย์ผ่าตัดสมอง ได้เริ่มอธิบายเคสน้องให้ ผมและแฟนฟัง เวลานั้นเรายังหวัง ประโยคแรกที่ผมได้ยินจากแพทย์ที่ทำการผ่าตัดมันบีบอารมณ์มาก "เราเอาเลือดในช่องสมองออกแล้ว แต่ม่านตาน้องไม่ตอบสนองใดๆ ก้านสมองถูกทำลาย ทำให้ไม่สั่งการอวัยวะต่างๆที่ทำงานอัตโนมัติ ให้ทำงานได้ ในทางการแพทย์ ถือว่า เสียชีวิตแล้ว" ตอนนี้ ชีพจรน้องอยู่ได้เพราะยากระตุ้น และเครื่องช่วยหายใจ ตกลงน้องไม่ได้ฉีดสี เพราะภาวะของสมองถูกทำลายไปมาก แพทย์ไม่ตัดสินใจที่จะเสี่ยงในการฉีดสี เพราะถ้าฉีดสีก็แค่ช่วยให้รู้ว่าเส้นเลือดแตกที่จุดไหน แต่ไม่ได้ช่วยในการรักษาใดๆ แพทย์ประจำตัวน้อง แจ้งว่า ขอให้โอกาสน้อง ได้มีชีพจรอยู่ต่อไป ให้โอกาสอีก5-7วัน โอกาสแม้จะน้อยแค่ไหน แต่น้องยังเด็ก ลองให้โอกาสน้องก่อน เวลานั้น ไม่มีความคิดใดๆ มีแต่ความสงสัยว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร เรามองข้ามสัญญานบางอย่างที่น้องเคยบอกไหม ทำให้ คิดขึ้นมาได้ว่า น้องเคยถามว่า ทำไมคนเราถึงปวดหัว ซึ่งตอนนั้นน้องเขาไม่ได้ปวดหัว เราก็ค่อยๆอธิบายว่าปวดหัวมีหลายอย่างนะ ยกตัวอย่างว่าเขาปวดหัว นอนพัก ไปทานข้าว หรืออาบน้ำก็หาย กรณีแบบนี้ก็แค่ร่างกายมีบางอย่างไม่ปกติ เช่น หิวข้าวไม่มีสารอาหาร หรือ อากาศ เย็นไปร้อนไป ผมก็เคยถามว่า เวลาปวด ปวดจี๊ด หรือปวดตุ๊บๆ เหมือนหัวใจเต้น น้องเขาอธิบายไม่ถูก ถ้าว่าปวดตรงไหน ข้างซ้ายหรือขวา หรือตรงไหน น้องบอกว่า มันก็ตรงกลางๆ บอกไม่ถูก แล้วก็หันกลับไปดูมือถือ ไม่สนใจที่จะคุยกันต่อ ผมก็ไม่ได้เอะใจ อะไร ตรงนี้เหมือนเขาบอกอะไรเรา แต่เราไม่รู้ว่านี่คือจุดสำคัญของ เคสนี้เลย ทำไมเราไม่เอะใจ ทำไมเราไม่ได้พาเขามาตรวจ คิดอยู่หลายครั้ง แต่สิ่งนึงที่ได้ข้อมูลมาเพิ่มเติม ในช่วงเวลา ที่ออกมารอหน้าห้องICU มานั่งคิดทบทวนทุกอย่าง และพยายามถามสาเหตุจากคุณหมอหลายๆท่าน เวลาที่เข้ามาตรวจดูรายงานของน้อง

เคสนี้ แพทย์หลายท่านสันนิษฐาน จากอาการทั้งหมด เป็นที่ น้องเกิดมามีปัญหาเส้นเลือดโป่งพองมาแต่กำเนิด ที่พบได้ทั่วไป แต่คนอื่นอาจจะเป็นที่ช่องท้อง หรือจุดอื่นๆในร่างกาย แต่น้องเกิดในจุดที่สำคัญมากๆ เป็นจุดที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เคสลักษณะนี้ น้องมีเวลาแค่5นาทีแรกเท่านั้น เพราะจุดที่เกิด จะอยู่ข้างๆ หรือบนแกนสมองเลย และขนาดของก้อนเลือดใหญ่พอๆกับลูกกอล์ฟ ต่อให้ไม่ทำให้ก้านสมองเสียหาย สมองส่วนล่างตรงท้ายทอยก็ถูกทำลายไปถึง2/3ของเนื้อสมองส่วนนั้น ก็ไม่สามารถเดินหรือขยับตัวได้อีกหลายๆปี

วินาทีนั้นเราก็ยังให้โอกาส ทุกคนยังรออยู่หน้าห้องต่อไป ไม่มีใครกล้าบอกคนภายนอก เพราะแม้แต่ตัวเราเอง ยังไม่รู้ว่า ทั้งหมดเกิดอะไรขึ้น แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วผลต่อไปจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครกล้าที่จะพูดว่า "น้องจากไปแล้ว" เป็นคำที่พูดไม่ได้ แม้แต่คิด ก็อยากจะเอาความคิดนี้ออกไป น้องยังมีชีพจรอยู่ เหมือนน้องยังหลับอยู่ ช่วงเวลาที่รอนั้นมัน หนักมาก ระบายอะไรออกมาไม่ได้ ลืมหายใจ นับครั้งไม่ถ้วน มองหน้าแฟนที่แบกรับความรู้สึกอยู่ อยากช่วยแบ่งเบา แต่ตัวเราเองก็หนัก หนักจนคิดอะไรไม่ออก บอกได้แค่ว่า "ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว" , "ธรรมชาติให้เวลาเขาเพียงแค่นี้"

ยิ่งคิดถึงเวลาที่เขาเกิดมา เป็นลูกคนแรก เป็นหลานคนแรกในบ้าน พาน้องๆตามมา เป็นพี่ใหญ่ที่ใจดีกับน้องๆ สุภาพตลอด เชื่อฟังพ่อแม่ ดื้อน้อยมาก เป็นที่รักของน้องๆ หน้าเขาดูมีบุญมาก เกิดมาให้ความสุขกับทุกคน

ชีวิตนี้ช่างเปราะบางนัก เวลาไม่ได้มีเท่ากันทุกคน ไม่มีใครรู้ว่า เวลาของเราจะสิ้นสุดเวลาใด จงสร้างบุญกุศลในทุกลมหายใจ

เคสนี้ผมอยากแบ่งปัน ให้ทุกคนใส่ใจ กับปัญหาเล็กๆของ อาการปวดหัว "เส้นเลือดแตกในสมอง" แม้แต่เด็ก อายุยังน้อยก็เกิดขึ้นได้

เด็กหากปวดหัว ต้องถามและสังเกตุอาการ  ต้องบอกให้เด็กเข้าใจว่า ถ้าเป็นที่จุดเดิมๆ ซ้ำๆกัน ถึงแม้จะไม่มีอาการหนัก ต้องบอกผู้ใหญ่ ต้องตรวจให้แน่ชัด เพราะตำแหน่งที่เกิดที่เดิมซ้ำๆ จุดนั้นจะเป็นปัญหา ยิ่งเป็นจุดที่สำคัญ ยิ่งต้องรีบหาสาเหตุ

หากเกิดปัญหา เด็กปวดหัวรุนแรง โดยไม่มีสาเหตุ ให้พาไป รพ.ด่วนที่สุด ใช้ความเย็นประคบในจุดที่เป็นต้นทาง เช่น ขมับ, กกหู หรือต้นคอ ลดการไหลเวียนเลือดขึ้นไปที่สมอง (ห้ามใช้ในกรณีที่เส้นเลือดตีบ ซึ่งอาการจะต่างจากน้อง ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะครับ) ติดต่อ กู้ภัย และ หน่วยฉุกเฉินต่างๆ พร้อมๆกัน จะช่วยประสานงานได้ดีขึ้น สำคัญคือ รพ.ที่ใกล้ที่สุด และควรมี รพ.ที่ไปเป็นประจำ

ข้อมูลนี้อาจไม่ได้ครอบคลุมทุกกรณี และผมไม่ได้เขียนเพื่อให้ พ่อแม่ท่านใด ต้องกังวลหรือวิตกมากจนเกินไป แค่แชร์มาเพื่อเป็นข้อมูลนึง และให้เด็กเขาเข้าใจว่าหากปวดหัว ให้สังเกตุตัวเอง ว่าเป็นที่จุดไหน หากเป็นจุดสำคัญจะได้ตรวจก่อนที่จะสายเกินแก้เท่านั้นนะครับ

ผมอยากให้เคสที่เกิดกับน้องเป็นวิทยาทานให้ประโยชน์กับผู้อื่นต่อไป หากข้อความนี้เป็นประโยชน์ ก็จะช่วยสร้างกุศลให้กับน้อง ด.ช.กรวิชญ์ เตชธนดิเรก ด้วยนะครับ





คุณอาจสนใจ

Related News