สังคม
เปิดคลิปนาที 'ส.ต.อ.' บุกถึงบ้าน หว่านล้อมตบทรัพย์ 2.5 แสน ล่าสุดโดนรวบ พร้อมแจ้ง 3 ข้อหา-สั่งออกราชการ
7 ธ.ค. 2567
222 views
กรณีที่เพจ อีซ้อขยี้ข่าว : อีซ้อ โพสต์เรื่องราวของผู้เสียหายที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเอาเงินไป 2.4 ล้านบาท ก่อนที่ไปแจ้งความที่ สภ.แสนสุข จ.ชลบุรี แต่ถูกตำรวจ ยศสิบตำรวจเอก เรียกตบทรัพย์ 1.6 แสนบาท อ้างจะช่วยเร่งรัดคดีและมีกำลังใจในการสืบสวน ทั้งยังแต่งเครื่องแบบไปหาถึงบ้านผู้เสียหายด้วย โดยมีคลิปเสียงต้นเรื่องอย่างชัดเจน
ล่าสุดเมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.67) ทีมข่าวได้ภาพวงจรปิดเพิ่มเติม เป็นภาพวันที่ 9 ตุลาคม 2567 เวลา 17.50 น. โดยฝั่งผู้เสียหายบอกว่า คลิปนี้ เป็นนาทีที่ ส.ต.อ.วิชาญ สวมชุดตำรวจและมีเสื้อคลุมทับ เข้าไปพูดคุยกับฝั่งผู้เสียหายภายในบ้าน ประกอบด้วย นาง ภ. อายุ 70 กว่าปี ผู้เสียหายที่โดนแก็งคอลเซ็นเตอร์หลอก ก่อนโดนตบทรัพย์ซ้ำ ซึ่งวันนั้นมีนายเอ (นามสมมุติ) ลูกชายนาง ภ. นั่งอยู่ด้วย โดยคลิปนี้ฝั่งผู้เสียหายบอกว่า เป็นการพูดคุยเรื่องการจ่ายเงิน 1.5 แสนบาท ซี่งฝั่ง ส.ต.อ.วิชาญ เอง มาพร้อมเอกสารเพื่ออธิบายให้ฝั่งผู้เสียหายฟัง
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้คลิปเสียงเพิ่มเติม เป็นคลิปสนทนาระหว่างลูกชายผู้เสียหายที่ได้มีการพูดคุยกับ ส.ต.อ.วิชาญ ในคลิปเสียงล่าสุดนี้ ส.ต.อ.วิชาญ คุยกับลูกชายผู้เสียหายว่า ตนได้คุยกับแม่พี่ที่โดนหลอกแล้ว มองว่าแม่พี่มีความเสี่ยงสูงที่จะจบชีวิตตัวเอง เหมือนกับคนสิ้นบอกให้ชีวิตและมาโดนหลอกในช่วงที่อายุเยอะแล้ว ซึ่งแม่พี่ได้มาเล่าให้ผมฟังว่าจะเอาเงินนี้ไปซื้อที่แต่สุดท้ายมาโดนหลอกก่อน
ก่อนจะยกตัวอย่างถึงเคสที่เคยช่วยไว้บอกว่ามีความเสี่ยงจากจบชีวิตตัวเองเหมือนกันแต่โทรไปห้ามไว้และสุดท้ายก็ช่วยเอาเงินคืนได้สำเร็จ
จากนั้น ส.ต.อ.วิชาญ บอกต่อว่า ไม่ต้องห่วงเงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่เอามา ผมทำจริง แล้วผมรับผิดชอบได้ มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงผม ตอนแรกเพื่อนผมมันคิดตั้ง 5 แสนบาท ที่จะเอาไปรองบัญชี เผื่อได้เงินเยอะขึ้น แต่ผมบอกว่า พอก่อน เดี๋ยวมันจะมีปัญหาการชดใช้ได้ ให้คิดเพียง 1.5 แสนก็พอ
จากนั้นลูกชายผู้เสียหาย ถามว่า ถ้าเราโอนไปรองบัญชี จะได้เงินคืนเยอะกว่าเดิมยังไง โดย ส.ต.อ.วิชาญ บอกว่า เรื่องนี้เป็นการล่อซื้อ โดยเพื่อนตนจะมีการนำจำนวนเงิน 150,000 บาท มากั้นไว้ ก่อนที่จะมีการนำเงินจากบัญชีส่วนกลาง โอนเงินเข้าไปในบัญชีของผู้ต้องหาทีละ 1,000-2,000 บาท และจากนั้นพอมีเงิน ผ่านบัญชีผู้ต้องหาครั้งละ 10,000 เราก็จะได้กำไร แล้วดึงออกมาครั้งละ 4,000-5,000 บาท เราก็จะได้กำไรรอบละประมาณ 2,000-3,000 บาท
อีกทั้งทำเพื่อที่ต้องการจะทำให้บัญชีของผู้ต้องหามีความเคลื่อนไหวและคิดว่าเราเป็นเหยื่อ
ส.ต.อ.วิชาญ บอกกับผู้เสียหายว่า ความจริงแล้วสิ่งที่ผมทำมันไม่ถูกต้องหรอก เพราะนายผมไม่โอเค เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมาเขาจะเดือดร้อนไปด้วย ในฐานะผู้บังคับบัญชา นี่คือสาเหตุที่ผมต้องเลือกเคส ผมอยากคุยให้พี่สบายใจก่อนว่าสิ่งที่ผมทำบางคนบางเคสไม่เข้าใจจึงอยากพูดคุยแบบตรงไปตรงมาว่าเป็นลักษณะนี้
ต่อมาวานนี้ (6 ธ.ค.67) ทีมข่าวได้คุยกับ คุณเอ (นามสมมติ) ลูกชายผู้เสียหาย เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เรื่องราวเริ่มต้นจากแม่ของเธอสั่งซื้อครีมบำรุงผิวผ่านออนไลน์แต่ไม่ได้รับสินค้า (***เป็นข้อมูล : แม่ซื้อครีม 900 บาท แต่ลูกไม่อยากให้พูดยอดเงินกลัวแม่ถูกด่าว่าโง่***) จึงตัดสินใจที่จะหาช่องทางแจ้งความผ่านทางออนไลน์เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ แม่จึงได้ไปค้นหาข้อมูลในเพจเฟซบุ๊กเกี่ยวตำรวจไซเบอร์ ก่อนพบว่าเป็น Ads ต่างๆเกี่ยวกับเพจตำรวจไซเบอร์เด้งขึ้นมาเยอะมาก มีทั้งขึ้นรูป ผบ.ตร. โปรโมทว่ามีขั้นตอนเอาเงินคืนได้จริง เช่น เพจ “Police News Online” Jeep Renegade Iraq Royal Thai Police Technology Defense Center ฯลฯ
จากนั้น แม่ได้เข้ากลุ่มไลน์ซึ่งทราบภายหลังเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์ ชื่อว่า “Help Center CYBER” พร้อมส่งไลน์ตำรวจ ชื่อ ร.ต.อ.พิภูษณ ให้ผู้เสียหายบอกว่าเป็นคนดูแลเรื่องนี้ และพบว่ากลุ่มนี้มีลักษณะเป็นกลุ่มผู้เสียหาย ซึ่งในกลุ่มนั้นมีคนที่คาดว่าเป็นหน้าม้ามาคุยกับแม่ด้วย ชวนแม่เข้าไลน์กลุ่ม อ้างว่าจะมีตำรวจคนหนึ่งที่สามารถช่วยได้จริง พร้อมจะได้ส่วนต่างๆ จากนั้นได้หลอกลวงให้แม่ร่วมลงทุน ทำให้แม่สูญเงินกว่า 2.4 ล้านบาท ซึ่ง 2.4 ล้านบาทนี้ ไม่ได้โอนเป็นก้อนเดียว แต่เป็นการทยอยโอนประมาณ 9 ครั้ง
หลังจากนั้น เมื่อแม่รู้ว่ากลุ่มผู้เสียหายหน้าม้าและตำรวจปลอมมาหลอกแม่จึงโทรแจ้งเบอร์ 1441 และไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรแสนสุข กับร้อยเวรคนหนึ่ง ขณะเดียวกันนั้น ส.ต.อ.วิชาญ ซึ่งอยู่ในโรงพัก นั่งอยู่แถวๆโต๊ะที่แจ้งความ ก่อนเข้ามาประกบหลังแม่แจ้งความเสร็จ พร้อมพูดจาโน้มน้าวว่าเขาสามารถช่วยได้จริง
จากนั้นแม่ได้มาเรียกให้ตนไปคุยกับ ส.ต.อ.วิชาญ ซึ่งไปคุยกับก็บอกว่าอยากช่วยเหลือแม่พี่ พร้อมอ้างว่าช่วยได้จริง โดยอ้างว่ามีเพื่อนในตำรวจไซเบอร์ที่ช่วยเคสลักษณะนี้สำเร็จมาหลายครั้งแล้ว พร้อมยกตัวอย่างว่า มี นศ. ป.โท เคยโดนหลอกแบบนี้ และช่วยได้สำเร็จแล้ว ต่อมาแยกย้ายกลับบ้าน แต่ไม่นานเขาโทรมาบอกว่า โทรศัพท์คุยกับเพื่อนที่ตำรวจไซเบอร์แล้ว บอกว่า รับทำคดีให้แม่พี่ และจะเร่งรัดให้เป็นพิเศษ อีกทั้งตรวจบัญชีม้ามาแล้ว มีทั้งหมด 16 บัญชี เมื่อพอฟังแล้วรู้สึกว่ามีความหวัง เพราะมีความคืบหน้าไปมาก
จากนั้น ส.ต.อ.วิชาญ หลังจากเสนอช่วยเหลือแต่มีเงื่อนไขต้องสำรองเงินในบัญชีจำนวน 200,000 บาท เพื่อเร่งดำเนินการและตรวจสอบบัญชีผู้ก่อเหตุ หลังจากการเจรจา ฝั่งผู้เสียหายลดวงเงินเหลือ 150,000 บาท แม่หลงเชื่อและโอนเงินให้ เพราะคิดว่าเขาไม่น่าจะเอาอาชีพของตนมาแลกกับเงินจำนวนนี้ ก่อนที่ในวันที่ 9 ต.ค.2567 ส.ต.อ.จะเข้ามาที่บ้าน พร้อมเอกสารความคืบหน้าทางคดี และพูดในลักษณะเดิม และอธิบายให้แม่ตนฟัง
สุดท้ายแม่ได้โอนเงินไปให้ยอด 1.5 แสนบาท ในวันที่ 10 ต.ค.67 เวลา 10.23 น. โดย ส.ต.อ.วิชาญ ยังย้ำว่า จะได้คืนทั้งหมดใน 7 วัน ต่อมาเมื่อครบกำหนด 7 วัน ส.ต.อ.วิชาญไม่คืนเงินตามสัญญา อ้างว่าได้เงินคืนบางส่วนแล้วและจะคืนพร้อมกันในภายหลัง แต่กลับมาขอเงินเพิ่มอีก 10,000 บาท ผู้เสียหายเริ่มสงสัย แต่ยังโอนเงินไปอีกครั้ง โดยลูกชายมีข้อมูลว่าแม่โอนไปเพียงยอด 1.6 แสนบาท แต่ความจริงแล้วโอนไปทั้งหมด 2.5 แสนบาท
คุณเอ บอกว่า พอเริ่มรู้ว่าโดนหลอก และอีกฝ่ายไม่ยอมจ่ายเงิน จึงเริ่มโพสต์เรื่องราวในเฟซบุ๊ก ซึ่งทำให้ ส.ต.อ.วิชาญ ติดต่อกลับมาขอร้องให้ลบโพสต์ อ้างว่าจะคืนเงินในวันถัดไป แต่ก็ยังเบี้ยวคำสัญญา
ขณะเดียวกัน แม่ของ ส.ต.อ.วิชาญ พยายามเจรจา โดยอ้างว่าครอบครัวเดือดร้อน ลูกชายถึงขึ้นจะจบชีวิตตัวเอง ยืนยันว่าจะหาเงินมาคืน จะเอาที่นาไปเข้า ธกส. เอาเงินมาคืนให้ ฟังตอนนั้นก็น้ำตาคลอเบ้า รู้สึกสงสาร จึงให้โอกาสหาเงินมาคืน แต่สุดท้ายก็ผลัดวันประกันพรุ่ง คุณเอจึงตัดสินใจดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ขณะเดียวกัน เมื่อรู้ว่าโดนหลอกซ้ำก็รู้สึกท้อมากๆ เพราะเราหนีร้อนมาพึ่งเย็น
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ ส.ต.อ.วิชาญ โดนจับแล้ว นายเอ ผู้เสียหาย บอกว่า ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากมีผู้การฯ พูดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ส่วนตัวมองว่า เหตุการณ์นี้ ส.ต.อ.วิชาญ ใส่ชุดตำรวจคุยกับตนทั้งหน้าโรงพักและมาที่บ้านก็ชุดตำรวจเช่นกัน เราไม่รู้หรอกว่าอันไหนตำรวจโจรหรือตำรวจจริง
คุณเอ ยังสงสัยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตำรวจหรือไม่ อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าการพักราชการจะนำไปสู่การกลับมาปฏิบัติงานอีกหรือเปล่า และอยากเรียกร้องให้ผู้บัญชาการระดับสูงพิจารณาคดีนี้อย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย ส่วนอีกอย่างที่กังวลไม่รู้ว่าคดีของตนจะไปถึงตำรวจไซเบอร์หรือไม่
ตอนนี้ คุณแม่ยังคงมีความเครียดมากจากการสูญเสียเงินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะยอมรับว่าความจริงแล้ว แม่ไม่ได้อยากเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะ แต่เพราะสงสารแม่ จึงออกมาพูด เพราะอยากช่วยแม่ให้ได้เงินคืนบ้าง อีกทั้งตัวเองก็กังวลว่า หากออกมาเผยเรื่องนี้แล้วไม่ได้เงินคืน ทั้งหมดที่ทำมาคงเป็นการประจานแม่ตัวเอง และขอฝากเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนว่า อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ โดยเฉพาะการติดต่อหรือดำเนินงานผ่านช่องทางออนไลน์ และขอย้ำว่าตำรวจไม่ทำงานลักษณะนี้
วานนี้ (6 ธ.ค.) ที่ สภ.แสนสุข จ.ชลบุรี พ.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รักษาการจเรตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาประชุมติดตามคดีที่ผู้เสียหายถูกนายตำรวจยศ “สิบตำรวจเอก” (ผบ.หมู่ ป. สภ.แสนสุข) ตบทรัพย์แลกช่วยทำคดีคอลเซ็นเตอร์หลอกเงิน ใช้เวลาประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจากการตรวจสอบพบว่าบุคคลที่ทำการตบทรัพย์ผู้เสียหายเป็นตำรวจจริง เพิ่งย้ายมาจากโรงพักในพื้นที่จังหวัดตราด
โดยก่อนหน้านี้ผู้เสียหายได้มาแจ้งความว่าตกเป็นเหยื่อถูกฉ้อโกงออนไลน์ 2,400,000 บาท เมื่อตำรวจนายนี้ทราบเรื่องก็ได้ไปหลอกผู้เสียหายว่าสามารถช่วยเหลือเอาเงินคืนมาได้ แต่ต้องมีค่าตอบแทนจำนวน 250,000 บาท ทำให้ผู้เสียหาย หลงเชื่อยอมโอนเงินจำนวนดังกล่าวไปให้ (แต่ที่เพจลงและลูกชายบอกคือ 150,000 บาท)
ทั้งนี้เมื่อผู้บังคับการจังหวัดชลบุรี ทราบเรื่องจึงสั่ง ดำเนินการสอบสวนวินัยร้ายแรง และให้ตำรวจนายนี้ออกจากราชการไว้ก่อนโดยทันที ตำรวจนายนี้จะตกเป็นผู้ต้องหาซึ่งถูกควบคุมตัวไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พนักงานสอบสวนได้แจ้ง 3 ข้อกล่าวหา ในมาตรา 149 เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ มาตรา 157 ปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมาตรา 341 ข้อหาฉ้อโกง
จากการสอบสวนข้อเท็จจริง เชื่อว่าตำรวจนายนี้ เกี่ยวข้องกับการพนัน มีนิสัยชอบเล่นการพนันเป็นประจำ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจทำเช่นนี้ และจากการสอบสวนไม่พบผู้เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดเพิ่มเติมแต่อย่างใด ตรวจสอบประวัติของสิบตำรวจเอกนายนี้ ไม่พบว่าเคยกระทำความผิดในลักษณะนี้มาก่อน
ทั้งนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ผู้บังคับบัญชาคอยสอดส่องความประพฤติของผู้ใต้บังคับบัญชามาโดยตลอด เรื่องนี้เสียหายอย่างมาก ประชาชนหนีร้อนมาพึ่งเย็น แล้วกลับถูกเจ้าพนักงานกระทำการเช่นนี้ ตนในฐานะจเรตำรวจแห่งชาติได้สั่งกำชับตรวจสอบในภาพรวมไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก ยืนยันว่าเป็นพฤติกรรมของเจ้าพนักงานที่ตนรับไม่ได้
นอกจากนี้ในเรื่องที่ผู้เสียหายถูก “สิบตำรวจเอก” นายนี้ ตบทรัพย์ไป 250,000 บาทนั้น เป็นความผิดส่วนบุคคล แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะช่วยติดตามเอาเงินคืนผู้เสียหายมาให้ ซึ่งผู้เสียหายสามารถติดตามทวงถามฟ้องร้องคดีแพ่งได้ ในส่วนของตำรวจก็จะช่วยดำเนินการหาเงินมาคืนให้เท่าที่สามารถทำได้ตามอำนาจหน้าที่
และวานนี้ (6 ธ.ค.) ชุดสืบสวน สภ.แสนสุข ได้ควบคุมตัว “สิบตำรวจเอก” คนดังกล่าวมาสอบปากคำ เจ้าเดินใช้เสื้อแขนยาวสีดำคลุมศีรษะ เพื่อไม่ให้สื่อมวลชนถ่ายใบหน้า โดยมีตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 นาย เป็นคนคุมตัวเข้าไปในห้องสืบสวน นักข่าวพยายามสอบถามแต่เจ้าตัวไม่ตอบคำถามใด ๆ ทั้งประเด็นตบทรัพย์ และเรื่องติดการพนัน
จากนั้น 15.30 น. ตำรวจ สภ.แสนสุข ได้คุมตัว “สิบตำรวจเอก” ลงมาจากห้องสอบสวนซึ่งอยู่ชั้น 2 ของโรงพัก โดยเจ้าตัวถูกใส่กุญแจมือเดินลงมาและใช้ผ้าคลุมข้อมือไว้ และได้เปลี่ยนเสื้อผ้าจากกางเกงขายาวเป็นกางเกงขาสั้น และเปลี่ยนจากเสื้อเสื้อยืดสีดำเป็นเสื้อเชิ้ตลายสก็อต ใส่หมวกแก๊ป และใส่หน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้า โดยมีรถควบคุมผู้ต้องหามาจอดรออยู่บริเวณด้านหน้าโรงพัก
ระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม แต่สิบตำรวจเอกคนดังกล่าวไม่ค่อยตอบคำถามใด ๆ แต่พอถามว่าอยากจะขอโทษผู้เสียหายหรือไม่ เจ้าตัวตอบ “ขอโทษครับ” เมื่อถามว่าเคยก่อเหตุตบทรัพย์ลักษณะนี้มากี่ครั้งแล้ว เจ้าตัวตอบเพิ่งทำครั้งแรก และปฏิเสธที่จะตอบเรื่องการติดพนัน เมื่อถามว่าเงินที่ตบทรัพย์มาใช้จ่ายหมดหรือยังนำไปใช้อะไรบ้าง เจ้าตัวไม่ตอบได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนรถควบคุมผู้ต้องขัง ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะขับออกจากโรงพักไป เพื่อนำตัวส่งศาลจังหวัดชลบุรี ขออำนาจฝากขังดำเนินคดีต่อไป เบื้องต้นพนักงานสอบสวนยื่นคัดค้านประกันตัว
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/OrU5Svw_STc
แท็กที่เกี่ยวข้อง แฉตำรวจตบทรัพย์ ,ตำรวจตบทรัพย์