สังคม
ผบ.ตร. ลงพื้นที่เหตุโรงงานพลุระเบิดที่สุพรรณฯ เผยเร่งตรวจอัตลักษณ์ 23 ร่าง เสร็จใน 2 วัน
โดย panwilai_c
18 ม.ค. 2567
58 views
ผบ.ตร. ยันเร่งพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ผู้เสียชีวิตจากเหตุโรงงานพลุระเบิด ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ให้เสร็จภายใน 2 วัน เพื่อส่งมอบร่างให้ครอบครัว ขณะที่รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ พบโรงงานพลุมีใบอนุญาตผลิตพลุแต่ไม่มีใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานผลิตพลุ
โดยตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กู้ภัย ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจหาร่างของผู้เสียชีวิตจากเหตุพลุระเบิดเมื่อวานนี้ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่ยังกันพื้นที่เกิดเหตุ ไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปเพื่อป้องกันอันตราย พร้อมกับเร่งนำร่างผู้เสียชีวิตไปที่วัดโรงช้าง ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสพภัย ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 2 กิโลเมตร เพื่อให้แพทย์ทำการตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล
พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางไปที่ ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีพลุระเบิด เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองพิสูจน์หลักฐาน และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ รวมถึงให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิต
ซึ่งภายในศูนย์มีเจ้าหน้าที่รัฐหลากหลายหน่วยงาน ทั้งจากยุติธรรมจังหวัด พัฒนาสังคม อัยการจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด มาตั้งโต๊ะรับเรื่องราวร้องทุกข์ให้กับญาติผุ้ประสพเหตุ
พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ เปิดเผยว่าพบร่างผู้เสียชีวิต แล้ว 21 ร่าง ส่วนอีก 2 ร่าง คือร่างที่ 22 อยุ่ในบ่อน้ำใกล้จุดที่ระเบิด และร่างที่ 23 คาดว่าจะยังอยู่ในที่เกิดเหตุ
โดยภารกิจในวันนี้ จะเร่งตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลให้เสร็จภายใน 1-2 วัน เพื่อส่งมอบร่างผู้เสียชีวิต ให้กับครอบครัว เพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนา โดยจะไม่มีการส่งร่างไปที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะได้ยกทีมแพทย์นิติวิทยาศาสตร์มาไว้ที่นี่หมดแล้ว
ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้น ต้องรอการตรวจพยานหลักฐานจากกองพิสุจน์หลักฐาน และ ชุด อีโอดี เพราะพยานบุคคล ที่อยู่ในเหตุการณ์เสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ
หลังจากนี้จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกับกระทรวงมหาดไทย ในการกำหนดกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ในการป้องกันการเกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้
การกำหนดโซนนิ่งพื้นที่จัดตั้งโรงงาน โดยเฉพาะโรงงานประกอบพลุระเบิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย
รวมทั้งจะร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยในการเร่งตรวจสอบโรงงานพลุ และโรงเก็บดินปืนในบริเวณพื้นที่เพื่อความปลอดภัย
ส่วนกรณีที่มีการสงสัยในเรื่องขอใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานผลิตพลุนั้น นายดรณ์ สมิตะเกษริน รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่าโรงงานที่เกิดระเบิดนั้นมีการขอใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนที่เคยเกิดเหตุการณ์ระเบิดเมื่อปี 2565 แต่ยังพบว่าใบอนุญาตยังคงมีการต่อหลังจากเกิดเหตุนั้น ตามกฎหมายแล้วไม่ได้มีกฎเกณฑ์พิจารณาว่า หากโรงงานที่เคยเกิดเหตุระเบิดมาก่อน จะไม่สามารถต่อใบอนุญาตได้ จึงทำให้โรงงานแห่งนี้ยังมีสามารถต่อใบอนุญาตได้ตามปกติ
ขณะที่ พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังมาให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตว่า หลังจากเมื่อคืนนี้ได้ตรวจพื้นที่กับชุด อีโอดี ได้ข้อสรุปว่ายังไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ เพราะกลัวก่อเหตุซ้ำ ส่วนร่างผู้เสียชีวิตได้ทำการเคลื่อนย้ายออกจากจุดเกิดเหตุครบทั้ง 23 ร่างแล้ว และแช่ไว้ในรถแช่เย็น เพื่อดำเนินการพิสูจน์ลัตลักษณ์บุคคลที่วัดโรงช้าง
สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนคือ พิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลว่าเป็นศพใคร ซึ่งขณะนี้ได้ศพครบหมดแล้วทั้ง 23 ราย มีซองเก็บศพ 25 ซอง ซึ่งอีก 2 ซองเป็นซองที่เก็บชิ้นส่วนเพื่อนำมาพิสูจน์ว่าเป็นของใคร
ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิสูจน์จากแพทย์โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ร่วมกับ แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ โดยในช่วงเวลา 14:00 พิสูจน์อัตลักษณ์แล้วเสร็จ 10 ราย เหลืออีก 13 ราย กำลังดำเนินการ ส่วนการตรวจสอบดีเอนเอ ของญาติ ขณะนี้ตรวจครบหมดแล้ว
สำหรับการตรวจอัตลักษณ์บุคคล มีอยู่ 4 วิธี โดยเปรียบเทียบกับข้อมูลของครอบครัวผู้เสียชีวิต ประกอบไปด้วย
1. ดูรอยสัก / เสื้อผ้า / สร้อย / โดยอาศัยการยืนยันจากครอบครัว
2. ดูจากลายนิ้วมือ
3. ดูจากฟันมาเปรียบเทียบประวัติทางทันตกรรม
4. จากการตรวจ DNA ตรงกันกับญาติ
ขณะที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้เดินทางมาที่ ศูนย์เดินทางมายังศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีพลุระเบิด และได้เดินทางไปจุดเกิดเหตุ เพื่อดูการทำงานของเจ้าหน้าที่
นายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า ตนได้นำความห่วงใยจากนายกรัฐมนตรีมามอบให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งหน่วยงานราชการทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมให้การช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ โดยรวมแล้วแต่ละครอบครัวจะได้เงินอย่างน้อย 300,000 บาท จากกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จากการลงพื้นที่พบว่า มีหลุมระเบิดกว่า 20 หลุม กว้าง 3 เมตร ลึกสุด 1 เมตร และพบชิ้นส่วนมนุษย์กระเด็นไกลสุดถึง 200 เมตร เศษวัสดุกระเด็นไกล 1,100 เมตร แสดงให้เห็นว่าเกิดเหตุระเบิดรุนแรงมากและวัสดุที่เกี่ยวข้องกับระเบิดมีปริมาณมากพอสมควร
โดยวันพรุ่งนี้ จะเชิญตัวแทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องการออกใบอนุญาตและตรวจสอบโรงงานพลุ มาประชุมเพื่อหารือ สรุปแนวทางการแก้ไขปัญหา ที่ทำเนียบรัฐบาลในเวลา 11:00 โมง โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นได้
ทั้งนี้จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย พบว่าโรงงานแห่งนี้ ได้รับใบอนุญาตในการผลิตพลุอย่างถูกต้อง แต่ไม่ปรากฏว่าโรงงานดังกล่าว ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานจากกระทรวงอุตสาหกรรมแต่อย่างใด
ซึ่งกะทรวงกลาโหม จะต้องตรวจสอบต่อไปว่า วัตถุที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตระเบิดพลุนั้น นำเข้ามาโดยถูกต้องและได้รับการผ่านการควบคุมโดยกระทรวงกลาโหมหรือไม่
มีรายงานจากเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ เปิดเผยถึงเงินเยียวยา ที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจะได้รับจาก 2 หน่วยงาน หน่วยงานแรกคือ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มอบเงินเยียวยาครอบครัวละ 20,000 บาท
โดยแบ่งเป็น เงินช่วยเหลือทางสังคมกรณีฉุกเฉินครอบครัวละ 3,000 บาท เงินอุปถัมภ์แก่เด็กและเยาวชนที่อายุไม่เกิน 18 ปี เดือนละ 2,000 บาทต่อคน เงินสงเคราะห์ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูและการศึกษารายบุคคล 4,500 บาท เงินช่วยเหลือครอบครัวกรณีผู้เสียชีวิตจากภัย รายละ 10,000 บาท
ทุนการศึกษาสงเคราะห์แก่บุตรหลานครอบครัวผู้เสียชีวิตจนกว่าจะจบปริญญาตรี รวมทั้งได้รับการช่วยเหลือจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจะมีทั้งหมด 17 ครอบครัวที่ได้รับเงินจำนวนนี้ จากผุ้เสียชีวิต 23 คน
หน่วยงานที่สอง คือในส่วนของกระทรวงยุติธรรมนั้น จะมีเงินช่วยเหลือตามสิทธิ์ของผู้เสียหายในคดีอาญา โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จะมีค่าตอบแทนในกรณีผู้เสียชีวิตรายละ ตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท / ค่าจัดการงานศพรายละ 20,000 บาท / ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตรายละไม่เกิน 40,000 บาท และค่าเสียหายอื่นเห็นตามสมควรไม่เกิน 40,000 บาท รวมทั้งสิ้นจะได้เงินเยียวยาจากกระทรวงยุติธรรม รายละไม่เกิน 200,000 บาท
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/j_RrfYsYxRE