สังคม

'สกาย หนุ่มสิงคโปร์' แฉยับ ชี้รูปหน้าตร.คนไถเงิน - แจงยิบรายละเอียดโดนรีดเงิน 27,000 บาท

โดย parichat_p

1 ก.พ. 2566

335 views

มาตามนัด คุณสกาย นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ที่เป็นผู้เสียหายถูกตำรวจ สน.ห้วยขวาง รีดเงิน 27,000 บาท ที่ด่านตรวจหน้าสถานฑูตจีน เมื่อกลางดึกวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา ออกมาเปิดใจแล้ว แจงยิบ เงินที่จ่ายไป เป็นค่าอะไรบ้าง


ตรงเวลา 14.00 น. นาย ชูวิทย์ เดินเข้ามาภายในโรงแรมเดวิส พร้อมกับถือปี๊บที่มือซ้าย และเดินเคาะเสียงดังเป็นจังหวะ ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวการเปิดตัวพยาน พร้อมกับตะโกนว่า "ฝากเอาปี๊บ ให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไว้คลุมหัว ตั้งบ่อนไม่ได้ เลยมาตั้งด่านแทน แถมตั้งด่าน ทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทยอีก เอาเงินนักท่องเที่ยว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนนี้หลายเรื่องแล้วนะ เดี๋ยวจะแฉให้ดู…" ก่อนจะฝ่าวงล้อมของนักข่าว เข้าไปวงแถลงข่าว



นายชูวิทย์ เริ่มต้นการแถลงข่าวด้วยการเปิดคลิปที่ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลให้สัมภาษณ์ที่ สน.ห้วยขวาง ไว้เมื่อวันที่ 25 มกราคมว่า ไม่มีการเรียกรับเงิน โดมถามย้ำว่า ถ้าไม่ได้ทำ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร / จากนั้นเปิดภาพที่ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้าใส่มือของอันหยูชิง พร้อมกล่าวว่า เป็นความจริงที่อันหยูชิงใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่วันที่เกิดเรื่องเธอไม่ได้นำบุหรี่ไฟฟ้ามา แต่ถูกตำรวจยัดใส่มือแล้วถ่ายรูป แล้วยังบอกด้วยว่า หากบอกว่า ตำรวจไม่ดีเป็นนิ้วร้ายที่ต้องตัดทิ้ง เชื่อว่าวันนี้ไม่มีนิ้วเหลือให้ตัดแล้ว อาจจะต้องตัดแขนตัดขาเพื่อเอาชีวิตรอด


จากนั้น นายชูวิทย์ ได้เชิญ สกาย พยานชาวสิงคโปร์ เพื่อนของอันหยูชิง ที่อยู่ในวันเกิดเหตุมาร่วมแถลงข่าว


สกาย กล่าวว่า ถ้าไม่ไว้ใจนายชูวิทย์ก็คงไม่เดินทางมา และเริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ว่า วันเกิดเหตุเขากับกลุ่มเพื่อน รวมทั้งอันหยูชิง ไปเที่ยวงานวันเกิดเพื่อนอีกกลุ่ม หลังจากนั้นได้เรียกแกรป เพื่อที่จะไปนั่งดื่มต่อใกล้ๆ กับโรงแรมที่ย่านห้วยขวาง แต่มาเจอด่านตำรวจก่อน และเจ้าหน้าที่ได้ขอตรวจเช็ค ให้ทุกคนลงจากรถ จากนั้นเข้ามาจับตามตัว ค้นกระเป๋า รวมทั้งให้ถอดรองเท้าด้วย พร้อมบอกว่า ให้นำเอกสารหนังสือเดินทางออกมาแสดง แต่เขาไม่ได้นำพาสปอร์ตออกมาจากที่พัก จึงเปิดเป็นรูปถ่ายให้ดู เจ้าหน้าที่ก็พยายามถามหาพาสปอร์ตตัวจริง


ซึ่งการตรวจค้นตำรวจพบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน ในตัวของเขา และเพื่อนชายชาวสิงคโปร์อีก 2 คน แล้วบอกว่าขอเก็บไว้ก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่ถามต่อว่า พวกเขามาจากประเทศไหน มาทำอะไร / ตอนนั้น อันหยูชิง ได้ เอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเพื่อที่จะส่งไปเตือนกับเพื่อนอีกกลุ่มว่า จุดนี้มีด่านตรวจให้ระวัง แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่สั่งห้ามโทรศัพท์ ห้ามติดต่อใคร ห้ามถ่ายรูป โดยเจ้าหน้าที่ทำหน้าซีเรียสมาก ทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ จนรู้สึกว่า เป็นคนทำความผิด เลยถามไปว่า พวกเขาทำอะไรผิด เจ้าหน้าที่ก็ถามหาวีซ่า ก็พยายามอธิบายว่า ชาวสิงคโปร์เดินทางเข้าประเทศไทยมาท่องเที่ยวไม่เกิน 10 วัน ไม่ต้องใช้วีซ่า เขาเดินทางมาบ่อย เจ้าหน้าที่กลับบอกว่า "อย่าเถียง"


จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็เปลี่ยนมาพูดเรื่องที่พวกเขาพกพาบุหรี่ไฟฟ้าว่าเป็นความผิด ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้านี้เพิ่งมาซื้อในประเทศไทยจากตลาดห้วยขวางในราคา 800-1,000 บาท เพราะเห็นว่ามีขายทั่วไปและคนก็สูบกันเป็นปกติ จึงไม่รู้ว่าผิดกฎหมาย แต่พออธิบาย เจ้าหน้าที่ก็เริ่มมีท่าทีโมโห จากนั้นก็มีตำรวจคนอื่นๆ เข้ามาล้อม แล้วพยายามบอกว่า ต้องมีวีซ่า และบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย


จึงถามกลับไปว่าต้องทำอย่างไร ตำรวจก็บอกว่าทั้งหมดต้องไปสถานีตำรวจและจะต้องติดคุกอย่างน้อยอีก 2 วัน ซึ่งเขามีกำหนดจะเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้นแล้ว และไม่อยากอยู่ต่อ ประกอบกลัวว่าจะต้องไปสถานีตำรวจ เลยถามว่าถ้าไม่ไป จะทำอย่างไรได้บ้าง ตำรวจคนที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบ (คนที่ 1) ก็บอกว่า ขอไปถามหัวหน้าก่อนแล้วก็เดินหายไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าได้ไปถามจริงๆ หรือไม่ แต่พอเดินกลับมา ตำรวจคนดังกล่าวก็บอกว่า จะคิดเงินค่าที่พกบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน อันละ 8,000 บาท รวมเป็น 24,000 บาท / และค่าที่ไม่พกพาสปอร์ตตัวจริงอีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท


ตำรวจที่เข้ามาพูดคุยเรื่องเงินกับพวกตนนั้น มีทั้งหมด 3 นาย โดยคนแรก เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ สวมแจ็คเกต มีหนวดเครา คนนี้ทำหน้าที่ในการเรียกและรับเงินจากนายสกาย และเก็บเงินเข้ากระเป๋าตนเอง // ส่วนตำรวจคนที่ 2 สวมเครื่องแบบ รูปร่างสูงใหญ่ ศีรษะล้าน ทำหน้าที่บังกล้องวงจรปิดหน้าสถานทูตจีน // ส่วนตำรวจคนที่ 3 รูปร่างผอม ใส่ผ้าคลุมครึ่งหน้า โดยจะเข้ามาร่วมรับฟังการพูดคุยด้วย


หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ให้นับเงิน ซึ่งตอนนั้นในตัวมีเงินอยู่ 3 หมื่นบาท ก็นับออกมา 27,000 บาท ส่วนอีก 3,000 บาท พยายามเก็บไม่ให้เจ้าหน้าที่เห็น เพราะวันรุ่งขึ้นต้องใช้เงินไปสนามบินเพื่อเดินทางกลับ จากนั้นตำรวจคนแรกก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าไป แล้วบอกให้รอก่อน ก่อนจะเดินเอาบุหรี่ไฟฟ้าไปให้อันหยูชิงถือ แล้วถ่ายภาพไว้ รวมถึงพวกตนทุกคนด้วย


ส่วนจุดที่ส่งมอบเงิน คือ บริเวณมุมหนึ่งของด่านตรวจอยู่ใกล้กับป้ายหน้าสถานทูตจีน ซึ่งตำรวจคนแรกก็ยังบอกว่า หน้าสถานทูตมีกล้อง จะต้องแอบให้ แล้วก็ให้ตำรวจคนที่สอง เป็นคนบังกล้อง หลังส่งมอบเงินเสร็จ จังหวะที่เขากำลังจะเรียกแกรป เจ้าหน้าที่ก็เรียกแท็กซี่ให้และให้บอกแท็กซี่ว่าจะไปไหนต่อ โดยไม่ทันได้สังเกตว่าหลังจากรับเงินไปแล้ว ตำรวจได้แบ่งเงินให้กันหรือไม่ เพราะอยากรีบออกมาจากจุดนั้นให้เร็วที่สุด


ตอนนั้นยอมรับว่า พวกตนทั้งกลุ่มเครียดมาก เพราะไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน และทั้งหมดอยากออกจากจุดนั้นไว้ๆ รวมถึงอยากออกจากประเทศไทย ไม่อยากอยู่ต่อเพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ซึ่งตอนที่ตำรวจเรียกรับเงิน อันหยูชิงก็บอกว่า มันผิดปกติ เพราะถ้าเป็นค่าปรับ จะต้องมีใบเสร็จ และมีการเซ็นชื่อ แต่ตอนนั้นพวกตนไม่มีทางเลือก และรู้สึกกลัว รวมถึงรู้สึกว่าถูกกดดันเพราะตำรวจขู่เรื่องที่จะต้องเข้าคุก 2 วัน ทั้งนี้ หลังจากมีการยืนเจรจากันตอนแรกจนผ่านไปประมาณ 30 นาที ตำรวจได้บอกให้ตนเดินไปบอกกับแกรปที่นั่งมาว่า ให้กลับไปก่อนเลย ตนจึงได้เดินไปจ่ายเงินกับแกรปไปทั้งหมด 120 บาท ซึ่งเกินราคาจริง ที่ขึ้นในแอปพลิเคชั่นประมาณ 40-60 บาท เพราะตนรู้สึกเกรงใจที่แกรปต้องมาจอดรอนาน


โดยหลังผ่านเหตุการณ์นั้นมา เพื่อนในกลุ่มก็ไม่ค่อยอยากพูดคุยกันเพราะทุกคนยังเครียด แต่ยืนยันว่า ไม่ได้เมาหนักเหมือนที่มีคนออกมาพูด และพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่แล้ว ส่วนตัวคิดว่าเจ้าหน้าที่ถ้าจะเรียกตรวจ ก็ควรต้องมีเหตุผล ถ้าอยากจับก็จะต้องมีเหตุผล ถ้าสงสัยอะไรก็ต้องพูดคุย แต่สิ่งที่เกิดตำรวจไม่มีเหตุผลอะไรและบอกว่าต้องไปสถานีตำรวจอย่างเดียว ทำไมต้องทำแบบนี้ ส่วนเงิน 27,000 บาท ที่จ่ายไป ตอนแรกตนตั้งใจว่าจะนำไปซื้อของฝากให้ครอบครัว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ ซึ่งหลังจากขึ้นแท็กซี่ออกมาจากด่าน ตนก็ยังคิดในใจว่า นี่เป็นมิติใหม่ของการเรียกเงินหรอ และตนก็รู้สึกโกรธมาก เพราะตนตั้งใจว่าอยากจะไปดื่มต่อ แต่ตอนนั้นไม่มีเงินเหลือแล้ว


นอกจากนี้ ระหว่างการแถลงข่าว นายชูวิทย์ ยังได้นำแฟ้มรายชื่อ พร้อมรูปภาพของตำรวจสังกัดสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางมาจำนวนหนึ่ง และเปิดให้สกายดู 2 รูปภาพ แล้วถามว่า จดจำใครได้บ้าง ซึ่งพอสกายดูรูปภาพตำรวจแล้วได้พยักหน้า ว่าจำได้


สกาย ยังบอกอีกว่า ที่ประเทศสิงคโปร์ไม่มีเรื่องแบบนี้ โดยการให้เงินกับตำรวจนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าให้ก็ "ฉิบหาย" แน่นอน ส่วนวันนี้ ที่ตนเดินทางมาก็แค่อยากพูดความจริงและที่ตนกล้ามา ก็เพราะคิดว่าตนพูดความจริงและไม่ได้ทำอะไรผิด / ทั้งนี้ พวกตนไม่ได้คิดจะเอาผิดกับตำรวจตั้งแต่แรก การที่ อันหยูชิง ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้นั้น ก็เพื่อที่จะเตือนภัยเพื่อนชาวต่างชาติเท่านั้น



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/hAh0pHb02yM

คุณอาจสนใจ