สังคม

'ทนายตั้ม' แจ้งจับ 'อดีตรองนายกฯ' แฉพาเมียหย่าก่อนแถลงข่าว ยันไม่มีขบวนการตบทรัพย์

โดย panwilai_c

12 ม.ค. 2566

110 views

ทนายตั้มและสามีของหญิงวัย 25 ปี แจ้งความกลับอดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ในข้อหาแจ้งความเท็จ พร้อมแจงประเด็นที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นขบวนการแบล็คเมล์ พร้อมแฉอดีตรองนายกฯ เพิ่งหย่าเมีย 9 ม.ค. ก่อนแถลงเพียง 1 ชั่วโมง



ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พาสามีหญิงวัย 25 ปี เดินทางไปที่ สน.บางยี่ขัน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ในข้อหาแจ้งความเท็จ และ ให้การเท็จ



โดยวันนี้คุณษิทรา ได้พาสามีของหญิงวัย 25 ปี มาแจ้งความดำเนินคดีกับ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เพราะมีหลายอย่าง ไม่เป็นความจริง อย่างที่มีการกล่าวอ้างว่า อดีตรองนายกรัฐมนตรีไปสู่ขอฝ่ายหญิง ทำพิธีหมั้น และให้สินสอด ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง เป็นการแต่งเติมข้อเท็จจริง เพื่อให้เข้าข้อกฎหมาย ว่าตัวเองสามารถเรียกคืนทรัพย์สิน หรือสินสอด ที่เคยให้กับฝ่ายหญิงได้ โดยอดีตรองนายกรัฐมนตรีมีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสมา 10 ปีแล้ว



กรณีทรัพย์สินที่อ้างว่าได้ให้เงินไปซื้อคอนโด มูลค่า 3 ล้านบาท ก็ไม่ใช่เรื่องจริง โดยตนมีหลักฐานกรรมสิทธิ์ รวมถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่บอกว่าให้ฝ่ายหญิงก็ไม่ใช่เรื่องจริง โดยหลักฐานกรรมสิทธิ์ซื้อคอนโด ตั้งแต่ปี 62 แต่อดีตรองนายกรัฐมนตรีอ้างว่าซื้อให้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากว่าอดีตรองนายกรัฐมนตรีเพิ่งรู้จักกับฝ่ายหญิงเมื่อปี 65 ดังนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคอนโดนี้แน่นอน



ส่วนเรื่องเงิน และทรัพย์สินต่าง ๆ ที่อ้างว่า ได้ให้ฝ่ายหญิงเกือบ 20 ล้าน ก็เป็นการอ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานการโอน และการเบิกถอน แต่เชื่อว่าอาจจะเคยให้เงินจริง ในฐานะชู้รัก แต่ไม่ได้มากถึง 10 กว่าล้านบาท

ประเด็นที่ อดีตรองนายกรัฐมนตรี รู้จักกับฝ่ายหญิง สมัยเป็นแคดดี้ และให้เงินไปทำศัลยกรรม โดยทั้งคู่รู้จักกันมากว่า 10 ปีนั้น ก็ไม่เป็นความจริง ฝ่ายหญิงอายุ 25 ปี หากย้อนกลับไป 10 ปี ฝ่ายหญิงก็มีอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว



หลังจากที่ตนเปิดเรื่องไปวันที่ 7 มกราคม และจะแถลงข่าวในช่วง 10 โมง ของวันที่ 9 มกราคม ปรากฎว่าอดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ใช้เล่ห์กล ในการจะขอคืนทรัพย์สิน โดยการทำตัวเองให้โสด เพื่อให้สามารถแจ้งความ และฟ้องร้องในคดีต่าง ๆ ได้ ก่อนแถลงข่าว 1 ชั่วโมง โดยอดีตรองนายกรัฐมนตรี ไปทำเรื่องหย่ากับภรรยา ที่ ว่าการอำเภอสามพราน จ.นครปฐม ในเวลา 8.53 น. โดยตนก็ได้นำหลักฐานส่วนนี้มามอบให้กับพนักงานสอบสวนด้วย



ซึ่งทีมข่าวเรื่องเด่นเย็นนี้ได้เห็นเอกสารทะเบียนการหย่าฉบับนี้จากแหล่งข่าวพบว่า นาย ย. ได้หย่าร้างกับ ภรรยา แล้ว เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2566 เวลา 08.53 น. โดยจดทะเบียนหย่ากันที่ ณ. สำนักทะเบียนอำเภอสามพราน จ.นครปฐม



ส่วนกรณีที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า เป็นขบวนการตบทรัพย์ และรู้เห็นกับขบวนการนี้ด้วย ทนายตั้ม อยากชี้แจงว่า ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมขบวนการดังกล่าว และสามีของหญิงวัย 25 ปี ก็ไม่ได้รู้เห็นกับขบวนการนี้ และทันทีที่ทราบว่าฝ่ายหญิงนอกใจ ก็ขอหย่า โดยใช้กระบวนการกฎหมายทันที และตั้งแต่ทราบเรื่อง สามีของหญิงวัย 25 ปี ไม่ได้คุยกับอดีตรองนายกรัฐมนตรีเลย จึงไม่ใช่การตบทรัพย์ ประกอบกับฝ่ายชายทำธุรกิจส่วนตัว และมีฐานะอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข้าร่วมกระบวนการดังกล่าว



ในส่วนครอบครัวของฝ่ายหญิงที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาฉ้อโกงนั้น ด้านของอดีตรองนายกรัฐมนตรี รู้อยู่แล้วว่าพ่อของฝ่ายหญิงมีคดีติดตัว จึงได้ไปแจ้งความจับครอบครัวของฝ่ายหญิง เพื่อให้ออกหมายจับ และตำรวจสั่งฟ้อง นั่นเป็นเพียงความเห็นเบื้องต้นเท่านั้น ตนจึงได้ทำเรื่องขอความเป็นธรรมกับอัยการแล้ว จึงมองว่าคดีที่ขึ้นศาลไปแล้วก็มีสิทธิ์ยกฟ้องได้เช่นเดียวกัน



หากเรื่องนี้ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ออกมาพูดความจริงอย่างลูกผู้ชาย เรื่องก็จะดีกว่านี้ แต่กรณีนี้ กลับมาโยงให้คนอื่นโดนคดีฉ้อโกงคนอื่นให้เข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมกับขอท้า ถ้าหากมีพิธีสู่ขอจริง ให้ปล่อยรูปในงานออกมาโชว์เลย เนื่องจากว่าฝ่ายชายมีพฤติกรรมชอบถ่ายรูปกับฝ่ายหญิงเพื่อโอ้อวดอยู่แล้ว ประกอบกับฝ่ายชายก็เป็นคนใหญ่คนโต จะต้องมีผู้ใหญ่ทางฝ่ายชายไปร่วมงานอยู่แล้ว ดังนั้นจึงคิดว่าถ้าหากมีพิธีดังกล่าว จะต้องมีการถ่ายรูปแน่นอน



ส่วนประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมฝ่ายหญิงถึงชอบถ่ายรูปลับเอาไว้ เป็นการถ่ายเพื่อมาแบล็คเมล์ภายหลังหรือไม่ หลักฐานที่ตนมีนั้นยืนยันได้ว่า เป็นการถ่ายภาพลับแล้วส่งให้กันทั้งสองฝ่าย รวมถึงประเด็นที่ อดีตรองนายกรัฐมนตรีอ้างว่า ไม่ทราบว่าฝ่ายหญิงมีสามีอยู่แล้ว ตนก็มีหลักฐานแชทไลน์ชัดเจนว่า อดีตรองนายกรัฐมนตรีทราบดีว่าฝ่ายหญิงมีสามีอยู่แล้ว



สำหรับกรณีที่ตนได้ฟ้องร้อง อดีตรองนายกรัฐมนตรีถึง 25 ล้านนั้น ไม่เป็นความจริง ตัวเลขไม่ได้สูงขนาดนั้น

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ารู้สึกกังวล เพราะกลัวว่าอิทธิพลของฝ่ายตรงข้ามจะทำให้มีผลเกี่ยวกับรูปคดี เนื่องจาก อดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลระดับคนใหญ่ คนโต ที่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว แต่ยืนยัน คดีนี้ไม่พลิกแน่นอน



ขณะที่ฝ่ายชายผู้เสียหาย ไม่สะดวกให้สื่อสัมภาษณ์ ใด ๆ ก่อนที่จะเดินทางกลับไปหลังให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนเสร็จ



ทางด้านทีมข่าว พยามติดต่อไปที่อดีตรองนายกรัฐมนตรีตั่งแต่เช้า แต่ไม่สามารถติดต่อได้ กระทั่งช่วงบ่ายสามารถติดต่อได้ แต่เมื่อทราบว่าเป็นสื่อก็วางสายทันที



โดยก่อนหน้านี้ ในโลกออนไลน์มีการเผยแพร่เอกสารที่อดีตรองนายกรัฐมนตรี แจ้งความข้อหาร่วมกันฉ้อโกง กับหญิง สามี ที่มาร้องกับทนายตั้ม รวมถึง พ่อ และแม่ของฝ่ายหญิง โดยเป็นเอกสารแจ้งความคืบหน้าคดีการสอบสวน (สรุปสำนวนส่งอัยการ) ที่สารวัตรสอบสวน สน.บางยี่ขัน แจ้งไปยังอดีตนายกฯ ในฐานะผู้เสียหาย



โดยรายละเอียดในเอกสาร ชี้แจงว่า ตามที่ได้แจ้งความดำเนินคดีกับ หญิงสาว สามี รวมถึง แม่และพ่อของฝ่ายหญิง ในข้อร่วมกันฉ้อโกง และพนักงานสอบสวนรับคำร้องทุกข์ไว้แล้ว ตามคดีอาญาที่ 546/2565



ขอแจ้งความคืบหน้า ผลการดำเนินงานของพนักงานสอบสวนว่า ขณะนี้ได้สรุปสำนวนการสอบสวนสั่งฟ้อง หญิสาว สามี แม่ และพ่อของฝ่ายหญิง ในข้อร่วมกันฉ้อโกง และในส่วนพ่อของฝ่ายหญิง พนักงานสอบสวนขออนุมัติศาลอาญาตลิ่งชันออกหมายจับ และศาลอนุมัติหมายจับแล้ว ตามหมายจับที่ จ.4/2566 ลงวันที่ 5 ม.ค.66 และส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาที่ 1-3 ให้พนักงานอัยการอาญาตลิ่งชัน 2 แล้วในวันที่ 10 มกราคม 66



ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาคดีในชั้นอัยการและศาลและสิ่งที่ดำเนินการต่อ คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามจับกุมตัวพ่อของฝ่ายหญิง ผู้ต้องหาที่ 4 ตามหมายจับ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และติดตามการนัดพิจารณาคดีในชั้นอัยการและในชั้นศาลต่อไป



ทางด้านนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ได้รับทราบจาก อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชันว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน ได้นำสำนวนพร้อมความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง



คดีนี้จะครบกำหนดผัดฟ้องผู้ต้องหาในวันที่ 15 มกราคมนี้ แต่ฝ่ายผู้ต้องหามีการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา พนักงานอัยการเจ้าของสำนวน จึงสั่งให้พนักงานสอบสวน ทำการสอบสวนเพิ่มเติม ก่อนที่จะพิจารณามีคำสั่งทางคดีต่อไป



ซึ่งถ้าหากถ้าผลการสอบสวนที่ทางพนักงานอัยการสั่งสอบเพิ่มส่งมาไม่ทันให้อัยการพิจารณาสั่งคดีภายในวันที่ 15 มกราคมนี้ ตามกฎหมายตัว ผู้ต้องหาทั้ง 4 ก็จะพ้นการควบคุมตัวของศาล เเละคดีจะต้องขออนุญาตอัยการสูงสุดเป็นสั่งฟ้อง และตำรวจก็จะต้องนำตัวผู้ต้องหา มาให้อัยการเพี่อยื่นฟ้องต่อศาลอีกครั้ง


รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/OsVWFrlSysk

แท็กที่เกี่ยวข้อง  ทนายตั้ม ,อดีตรองนายกฯ จีน

คุณอาจสนใจ

Related News