สังคม

ผอ.สำนักพุทธฯ เตรียมผลักดัน กม.คุ้มครองศาสนา เอาผิดพระและบุคคลทำให้เสื่อมเสีย

10 ก.ค. 2568

369 views

ผอ.สำนักพุทธฯ เตรียมผลักดันร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพุทธศาสนา เอาผิดผู้ที่จงใจทำศาสนาเสื่อมเสีย ทั้งภิกษุ-บุคคลทั่วไป หากจงใจเสพเมถุนกับพระ-เณร ต้องจำคุก 1-7 ปี ย้ำไม่นิ่งนอนใจ พูดคุยหาแนวทางแก้ไขอยู่ตลอด


นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.สำนักพุทธฯ) กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในวงการสงฆ์ กรณีมีพระหลายรูปเข้าไปพัวพันเชิงชู้สาวกับสีกากอล์ฟ


ในเรื่องดังกล่าว นายสุชาติ ตันเจริญตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เรียกผู้อำนวยการศาลากลางพระพุทธศาสนาเข้าไปพูดคุย เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ไปคุยกับพระผู้ใหญ่หลายรูปเพื่อหาแนวทางป้องกันสิ่งที่เกิดขึ้น ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาจะผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งได้เคยยกร่างไว้ในช่วงประมาณ ปี 64-65


เนื้อหาสำคัญในพระราชบัญญัตินี้ จะมีข้อกำหนดการลงโทษ ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งตัวพระภิกษุเองและผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสีย การอวดอุตริ การบิดเบือนคำสอน หรือต้องปาราชิกร้ายแรงก็จะมีบทลงโทษ จะต้องโทษทั้งจำและปรับ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ใดได้รับคำวินิจฉัยถึงที่สุดว่าต้องอาบัติปาราชิก จะต้องได้รับโทษจำคุกหนึ่งปีถึงเจ็ดปี ปรับ 20,000 ถึง 140,000 บาท ผู้ใดสมัครใจเสพเมถุนกับพระภิกษุและสามเณร ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย มีความผิดต้องจำคุกหนึ่งปีถึงเจ็ดปี ปรับ 20,000 ถึง 140,000 ภิกษุที่อวดอุตริมนุษยธรรม เรียกค่าเวทมนตร์ ทดลองของขลัง แสดงตนเป็นอาจารย์บอกเลขสลากกินแบ่งรัฐบาล ถือว่ามีมีความผิดต้องจำคุกหนึ่งปีถึงเจ็ดปี ปรับ 20,000 ถึง 140,000 บาท


หากดูตามกฏหมายปัจจุบัน กรณีที่สีกาวางแผนจงใจเสพเมถุนและถ่ายคลิปไว้นั้น อำนาจทางกฎหมายขณะนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไม่สามารถเอาผิดกับสีกาได้ ยกเว้นพระสงฆ์ที่ถูกถ่ายคลิปจะไปดำเนินการดำเนินคดีเป็นการส่วนตัว ซึ่งโทษหลักสุดทางพระธรรมวินัยของพระสงฆ์ ก็มีเพียงแค่อาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ หรือสึกออกไปเท่านั้น


แต่หากกฎหมายที่กำลังผลักดันอยู่ขณะนี้บังคับใช้ จะสามารถเอาผิดทั้งพระที่ทำผิดก็ทำวินัยด้วยการเสพเมถุน และสีกาที่เจตนาทำให้ศาสนาศาสนาเสื่อมเสียได้ ซึ่งจะมีโทษทั้งจำและปรับ


ดังนั้นในปัจจุบันที่ยังไม่ผ่านกฎหมายดังกล่าว ขอให้คดีพระที่สึกไปแล้วไปเป็นฆราวาส ออกมาดำเนินคดีกับสีกากอล์ฟ เพื่อทำให้ศาสนายังคงดำเนินต่อไป และไม่ให้มีบุคคลใดมาทำในลักษณะดังกล่าวให้ศาสนาต้องเสื่อมเสียอีก


สำหรับข้อมูลปัจจุบันเท่าที่ติดตามข่าว และประสานกับสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อตรวจสอบข้อมูลผู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่เกิดขึ้นขณะนี้ พบว่า เท่าที่มีการยืนยันและมีภาพหลักฐานประกอบการสึก ขณะนี้มีทั้งหมดสามรูป ได้แก่ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธฉาย จังหวัดสระบุรี วัดที่สอง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ และวัดที่สาม คือพระวัดใหม่ยายแป้น ส่วนอีก 2-3 รายที่เป็นกระแสข่าวว่าสิกขาแล้ว แต่ยังไม่มีภาพการยืนยันชัดเจน ประกอบด้วยเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก พระสังกัดวัดกัลยาณมิตร และพระวัดโสธรวรารามวรวิหาร ทั้ง 3 รูปขณะนี้ยังติดต่อไม่ได้และยังไม่ยืนยันว่าสึกแล้ว


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จะไปโทษสีกาฝ่ายเดียวไม่ได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมหาเถรสมาคมติดตามข่าวสารตลอด และได้สั่งการด้วยความห่วงใย ขอให้เจ้าคณะปกครองเข้มงวดกับพระภิกษุในพื้นที่ปกครองของตนเอง เนื่องจากสิ่งที่พบตามข่าวพระที่มีความเกี่ยวพันกับสีกากอล์ฟ ล้วนเป็นพระผู้ใหญ่ ระดับเจ้าคณะปกครองแทบทั้งหมด ดังนั้นต้องมีการทบทวนทั้งระบบว่าจะแก้ไขอย่างไร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเจ้าคณะปกครองกับล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเสียเอง แทนที่จะไปสอดส่องดูแลไม่ให้พระในพื้นที่ปกครอง ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ดังนั้นเป็นเรื่องที่ต้องหาสาเหตุ


แต่เท่าที่ปรากฏในข่าว สาเหตุจริงๆ ก็มีอยู่สองเรื่อง คือเรื่องเงินและเรื่องผู้หญิง เพราะเมื่อพระมีตำแหน่งมีเงิน ผู้หญิงก็จะเข้ามาใกล้ชิด ขึ้นอยู่กับพระแต่ละรูปว่าจะระหว่างตัวเองได้มากแค่ไหน เพราะในพุทธบัญญัติก็ระบุไว้ชัดเจนว่าเรื่องเงินและผู้หญิง เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับพระสงฆ์


สิ่งที่อยากจะฝากไปยังพระสงฆ์ทั่วประเทศ เมื่อบวชเข้ามาเป็นพระสงฆ์แล้ว ผู้คนเคารพกราบไหว้ ไม่ได้มีใครบังคับแต่เป็นความสมัครใจมาบวชเอง ดังนั้นต้องระงับยับยั้งชั่งใจตนเอง ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่สูงกว่าฆราวาส ดังนั้นควรประพฤติเป็นตัวอย่าง การปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมถึงขั้นต้องอาบัติปาราชิกนั้น ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้


ทั้งนี้อยากย้ำกับพุทธศาสนิกชนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล เมื่อบุคคลทำความผิดก็ต้องรับโทษ เพราะกรรมเกิดจากการกระทำ แต่ในส่วนของศาสนาและหลักธรรมยังคงอยู่เหมือนเดิม บุคคลที่กระทำความผิดถือว่าละเมิดพระธรรมวินัย ที่บัญญัติไว้ในพระพุทธศาสนา ก็ต้องเอาออกไปจากศาสนา เพราะพระดีๆ ก็ยังมีอยู่อีกจำนวนมาก ตัวบุคคลที่ไม่ดีออกไปจากศาสนา แต่หลักธรรมคำสอนและวัดก็ยังอยู่คงเดิม


คุณอาจสนใจ