สุพรรณบุรีเผาไร่อ้อย กว่า 1,000 ไร่ ท้าทายมาตรการห้ามเผา

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ไฟไหม้ไร่อ้อย ในพื้นที่หมู่ 11 ตำบลหนองมะค่าโมง อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเกิดไฟไหม้ตั้งแต่ช่วงตีสามครึ่ง วันที่ 5 ก.พ.68 โดยหลังได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจาก อบต.หนองมะค่าโมง และเทศบาลตำบลหนองกระทุ่ม ก็ระดมฉีดน้ำสกัดไม่ให้ไฟลุกไหม้ไปยังพื้นที่ข้างเคียง เนื่องจากจุดนี้มีไร่อ้อยปลูกติดกันมากกว่า 100 ไร่ ซึ่งการดับเพลิงเป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง จนช่วงสาย ๆ จึงจะควบคุมเพลิงเอาไว้ในวงจำกัด


แต่ไฟก็ยังปะทุขึ้นมาอีกในช่วงบ่าย วันที่ 5 ก.พ.68 นายวสันต์ จี้ปูคำ เกษตรจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วย นายธง กาฬภักดี นายกเทศมนตรีตำบลหนองกระทุ่ม จึงนำรถน้ำดับเพลิงเทศบาลหนองกระทุ่ม, รถน้ำ อบต.หนองมะค่าโง และรถน้ำจากโรงงานน้ำตาลมิตรผล เข้าช่วยกันดับไฟ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จึงสามารถดับไฟได้มอดสนิท


สอบถามเจ้าของไร่อ้อยที่ถูกไฟไหม้ เปิดเผยว่า ตนทำไร่อ้อยส่งโรงงานน้ำตาลทั้งหมด 700 กว่าไร่ ช่วงตีสามกว่า ได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่บ้าน ว่าไฟไหม้ไร่อ้อยของตน จึงรีบมาดู พบว่าไฟโหมไหม้อย่างรุนแรง และยืนยันว่าตนไม่ได้เผาไร่อ้อย เพราะตนส่งอ้อยให้กับโรงงานที่มีข้อตกลงกันว่า จะไม่รับอ้อยเผา และตัดสดอย่างเดียว แต่คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือชาวไร่อ้อยที่อยู่ใกล้เคียง ที่เผาไร่ของเขาแล้วลามมาติดไร่อ้อยของตน เบื้องต้นน่าจะเสียหายประมาณ 50 ไร่

เจ้าของไร่อ้อยรายนี้ บอกว่า หลังจากที่รัฐบาลและทางจังหวัดประกาศห้ามเผา แต่ก็ยังมีคนลักลอบเผาแบบไม่เกรงกลัว อีกทั้งลักษณะการจุด ก็จะจุดไฟหลาย ๆ ที่ หลาย ๆ กอง เพื่อให้ไฟลามเร็ว แต่มาลามติดไร่ตนไปด้วย ถ้านับรวมพื้นที่ทั้งหมดที่มีการเผา ก็น่าจะนับ 1,000 ไร่ สาเหตุที่เกษตรกรส่วนใหญ่ในพื้นที่นี้ต้องเผา เพราะพื้นดินมีหินปะปนอยู่มาก ทำให้รถตัดอ้อยลงไม่ได้ ชาวไร่อ้อยก็อยากจะระบายอ้อยไปขายให้ได้ไว ๆ ก็เลยต้องใช้วิธีเผา แต่สำหรับไร่อ้อยของตน ถ้าแปลงไหนใช้รถตัดได้ก็ใช้ ถ้ารถลงไม่ได้ ก็จ้างคนมาตัด ส่วนที่เกิดไฟไหม้ครั้งนี้ ตนก็ไม่อยากโทษใคร เพราะส่วนหนึ่งก็เข้าใจเกษตรกรด้วยกัน แต่ก็อยากให้คำนึงว่า การเผามันสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เพราะไฟอาจไปลามติดไร่อ้อยของคนอื่นที่เขาต้องการตัดสด และยังสร้างมลพิษทางอากาศด้วย

รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/ZzC1kTtUlP0