สังคม

พ่อแม่เล่าใจสลาย ลูก 3 ขวบ ติดเชื้อไวรัสเสียชีวิต หมอแจง 'เอนเทอโรไวรัส' ไม่ใช่เชื้อตัวใหม่

โดย passamon_a

9 ม.ค. 2568

1.2K views

พ่อแม่ เด็กหญิง 3 ขวบ โพสต์ ลูกน้อยติดเชื้อไวรัส ก่อนไปที่หัวใจ ทำกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน เสียชีวิต “หมอบอกไวรัสอยู่ในอากาศ มันโหดร้ายเกินไปไหม” เล่านาทีก่อนไป รพ. ชักเกร็งหลายรอบ จนต้องใส่ท่อ ปั๊มหัวใจ ก่อนสุดยื้อ


ด้าน นพ.สาธารณสุขจังหวัดชุมพร เผย เคสนี้ ตัวไวรัสชนิดมีอยู่ทั่วไป เรียกว่า Ennterrovirus-เอนเทอโรไวรัส ขณะที่หมอสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติฯ เผย โรคนี้พบน้อย แต่พบตลอด สำหรับเด็กหากป่วยแล้วมีโอกาสรุนแรง-เสียชีวิตสูง


เมื่อวันที่ 8 ม.ค.68 ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Aphichaya Thanasri ซึ่งเป็นแม่ของเด็กหญิงวัย 3 ขวบ โพสต์ ลูกน้อยติดเชื้อไวรัส ก่อนไปที่หัวใจ ทำกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลันเสียชีวิต ข้อความระบุว่า


“ไวรัสอะไร มันใจร้ายกับลูกแม่จัง น้องมีแค่ไข้ต่ำๆ ไม่มีอาการอะไรเลย เช็ดตัวกินยา หายแล้ว อยู่ๆ ชักเกรง ไปโรงพยาบาลทันที ต้องปั้มหัวใจ ใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ หมอช่วยชีวิต ปั้มหัวใจนานมาก แต่น้องไม่กลับมา หมอให้สาเหตุว่า ติดเชื้อไวรัส และมันไปที่หัวใจ เลยทำไห้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน มันไวมากไม่มีสัณญาณอะไรก่อนหน้าเลย หมอบอกไวรัสอยู่ในอากาศ มันโหดร้ายเกินไปไหม


น้องไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์นะลูก ลูกโชคดีมาก บุญเยอะมาก ไม่ต้องอยู่บนโลกที่มันโหดร้ายแบบนี้ เชื้อโรคอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ไม่ต้องเจ็บต้องไข้นะลูก หลับให้สบายนะลูกรัก รักน้องที่สุด ดวงใจของครอบครัวเรา # ไดอาน่าทีวี # สุดดวงใจ”


ส่วน พ่อเด็ก โพสต์ระบุว่า “บุญของพ่อมีน้อยเหลือเกินลูก ได้เป็นพ่อคุณแค่สามปีกว่าเอง ได้ดูแลนางฟ้าตัวน้อยของป๊า แค่แป๊บเดียวเอง พ่อมีกรรมที่หนักเหลือเกิน เขาเลยลงโทษพ่อกับแม่แบบนี้ แต่ป๊ากับแม่จะอโหสิให้ ไม่ผูกเวรกับใครอีกแล้ว สิ่งที่กลัวที่สุดในโลกเค้าลงโทษป๊าแบบนั้นไปแล้ว ให้เราผูกพันกันแค่สามปีกว่า ให้ได้รู้จักความรัก ความกลัว และความเสียใจที่แตกสลาย ป๊ากับแม่และคนที่เหลืออยู่จะก้มหน้ารับมันไปแต่โดยดี  


สามปีกว่า ไม่ใช่สิ สี่ปี ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง ตั้งแต่รู้วันนั้นแล้ว คิดว่าได้รับโอกาสปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ทำให้ชีวิตดีขึ้น เพื่อที่จะเป็นพ่อที่ดีของลูกให้ได้ ทุกช่วงเวลามันมีความสุขมากๆ เลยนะลูก ถ้าลูกไม่เกิดมา ป๊าก็คงไม่เคยเจอกับความรู้สึกที่ดีขนาดนั้นเลย เป็นความสุขที่ลูกได้สร้างไว้ให้ อาจจะแค่ไม่นาน แต่จะอยู่ตลอดกาลนะลูก ขอบคุณที่เกิดมาเป็นลูกป๊านะ ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณที่รักป๊านะ ขอบคุณที่รักแม่ ขอบคุณทุกรอยยิ้ม ทุกกอดทุกจูบ ทุกเสียงหัวเราะที่ลูกสร้างไว้ ความสุขที่ลูกทำไว้ให้ทุกคน บุญทุกอย่างตั้งแต่ป๊าได้เคยทำมาตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้และตลอดจนที่ป๊าจะมีลมหายใจอยู่ ขออุทิศให้เด็กหญิงภัควลัญชญ์ ขุนชัย ผู้เป็นดั่ง ดวงฤทัย เป็นหัวใจของป๊า ตลอดไปนะลูก


ป๊าเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ลูกกลับไปเอาร่างกายที่แข็งแรงที่สู้ชนะทุกเชื้อโรค แล้วกลับมามาหาป๊ากับแม่อีกนะ เพราะป๊ารักได้แค่น้องคนเดียว น้องสั่งป๊าไว้ ป๊ารับทราบ และรอนะลูก ไม่ต้องกลัวว่าจะมีซักวินาทีไหนที่ป๊าไม่รักลูก ก็ป๊ารักลูกตลอดไป ไม่มากและไม่น้อยไปกว่านี้ รักที่สุดในโลก รักเสมอ และตลอดไป เดินทางปลอดภัยนะครับ ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากลโลก ให้ผู้เป็นที่รัก ของข้าพเจ้าที่ล่วงลับไปก่อนหน้านี้ ฝากดูแลลูกสาวของผมด้วยนะครับ ผมจะทำบุญทำสิ่งที่ดีต่อไป ในส่วนของลูกสาวผมให้นะครับ แล้วส่งเขากลับมาหาผมด้วยนะครับ ไดอาน่า


ลูกเป็นนางฟ้ามีปีก ใช้ปีกแล้วก็พลังวิเศษของลูก พัดเอาเชื้อโรคร้ายต่างๆ ในโลกนี้ ให้มันหายไปให้หมดเลยนะ ลูกอย่าให้มันเกิดกับเด็กคนไหนอีกนะลูก คุ้มครองทุกคนด้วยนะ”


ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้าน น้องไดอาน่า ด.ญ.ภัควลัญชญ์ อายุ 3 ขวบ ที่เสียชีวิต ในพื้นที่ ต.บางลึก อ.เมือง จ.ชุมพร โดยบริเวณซุ้มประตูรั้วหน้าบ้าน ระบุชื่อ บ้านน้องไดอาน่า พบว่ากำลังจัดสถานที่เพื่อตั้งบำเพ็ญกุศลศพน้องไดอาน่า หรือ ด.ญ.ภัควลัญชญ์ อายุ 3 ขวบ โดยมี นายภูวนาท อายุ 30 ปี และ น.ส.อภิชญา อายุ 29 ปี ซึ่งเป็นพ่อและแม่ของน้องไดอาน่า และ น.ส.สุกัญญา ซึ่งเป็นยาย น.ส.จิระพร ซึ่งเป็นย่า พร้อมกับบรรดาญาติและเพื่อน กำลังอยู่ในความเศร้าโศก นั่งปลอบใจให้กันและกันอยู่ ที่ต้องสูญเสียน้องไดอาน่า ที่เป็นลูกคนเดียว


ทีมข่าวได้คุยกับ คุณอภิชญา แม่ของน้องไดอาน่า ระบุว่า เมื่อวันที่ 6 ม.ค.68 ตื่นมาตอนเช้ามีอาการพะอืดพะอม เหมือนจะอาเจียน จากนั้นป้อนน้ำ ป้อนข้าวกินได้เล็กน้อย จึงให้กินส้ม พอกินได้นิดเดียวก็อาเจียนออกมาอีกครั้ง จากนั้นจึงวัดไข้ เป็นไข้ต่ำ ๆ อยู่ที่ 37.5-37.6 องศา ซึ่งตลอดทั้งวันได้วัดไข้ก็พบว่ามีไข้อ่อน ๆ แบบนี้ตลอดทั้งวัน ก็ได้เช็ดตัวให้ตลอดทั้งวัน และให้กินยาพารา ซึ่งน้องไม่มีอาการอะไรเลยนอกจากไข้อ่อน ๆ ไม่มีอาการไอ ไม่หอบ ไม่มีน้ำมูก


จากนั้นเช้าวันที่ 7 ม.ค. ตื่นมา แม่ได้วัดไข้ อุณหภูมิอยู่ที่ 37.4 องศา แม่ป้อนข้าว ลูกกินข้าวหมดจาน แล้วก็กินขนม และนั่งเล่นเกมในไอแพดต่อ จากนั้นลูกก็ไปเล่นกับพ่อ ไปอ้อนให้พ่ออุ้ม เพราะติดพ่อมาก พอพ่อเขาอุ้ม ลูกมีอาการเกร็ง ๆ เหมือนเจ็บอะไรสักอย่าง แต่ดูไม่ออก จึงถามลูกว่าเป็นอะไรแต่ลูกไม่ตอบ ก่อนจะปัสสาวะใส่พ่อ พ่อจึงวิ่งมาหาแม่ เราก็ดูอาการลูก พบว่าลูกปากเขียว ตอนนั้นเข้าใจว่าลูกไข้สูงเนื่องจากเคยชักเกร็งจากไข้สูงมาก่อน จึงเช็ดตัวและปฐมพยาบาลเบื้องต้น เช็ดตัวยังไงก็ได้ให้ตัวเย็นและให้ลูกมีสติ พอเช็ดตัวไปแป๊ปเดียวลูกจากปากเขียวกลับมาเป็นปากสีชมพู


พอลูกกลับมาเป็นปกติได้สักพัก ลูกกรี๊ดตามพ่อ และอยู่ ๆ ก็เงียบไป แล้วมีอาการชักเกร็งตามมา จากนั้นปากเขียว เราจึงเริ่มแน่ใจแล้วว่าไม่น่าใช่ไข้ปกติ จึงรีบอุ้มลูกขึ้นรถไปโรงพยาบาล ซึ่งระหว่างทางก็ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทั้งเช็ดตัวและให้นอนตะแคงตามที่เคยทำมาตลอด เนื่องจากน้องเคยไข้และชักเกร็งตอนอายุ 9 เดือน และตอนปลายปี 2566 ซึ่งไปหาหมออาการกลับมาปกติ


คุณแม่ เล่าเหตุการณ์ช่วงพาน้องไป รพ. ต่อว่า ระหว่างอยู่บนรถ น้องมีอาการชักเกร็งเป็นระยะด้วย รวมทั้งมีอาการปากเขียวมือชา มือเย็น พอไปถึงโรงพยาบาลลูกร้องไห้เรียกหายาย ให้ยายอุ้ม ซึ่งเราก็คิดว่าลูกอาการปกติแล้ว เมื่อพาลูกไปห้องฉุกเฉิน ปรากฏว่าหมอหลายคนเข้ามารุมลูกเราทันที รวมทั้งมีเครื่องปั๊มหัวใจเข้าไปด้วย ซึ่งคุณหมอได้ปั๊มหัวใจและมาขออนุญาตแม่ให้เซ็นยินยอม ให้ใส่ท่อหายใจ ซึ่งเรารู้เลยว่าหากใส่ท่ออาการรุนแรงแล้ว ส่วนตัวก็รู้สึกงงมากว่าทำไมเป็นถึงขนาดนี้ ซึ่งคุณหมอได้บอกมาว่าลูกเราหายใจเองไม่ได้ จังหวะนั้นจึงตัดสินใจเพื่อช่วยชีวิตลูกก่อน หลังจากที่คุณหมอพยายามช่วยลูกไปสักพักก็เดินออกมาอัพเดทว่าตอนนี้น้องอาการหนักมาก จากนั้นสักพักลูกกลับมาหายใจเองได้ โรงพยาบาลแรกจึงรีเฟอร์ไปยังโรงพยาบาลชุมพร ซึ่งช่วงนี้เราเห็นลูกลืมตาแล้ว แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าลืมตาเพราะเครื่องช่วยหายใจหรือเพราะเหตุใด แต่เห็นลูกลืมตาด้วยอาการเหมือนลอย และไม่พูด เหมือนกับไม่มีสติ


พอไปถึงโรงพยาบาลชุมพร หมอได้ปั๊มหัวใจอีกครั้ง ส่วนตัวก็รู้สึกแปลกใจว่าเมื่อสักครู่ลูกลืมตาแล้วแต่ทำไมต้องปั๊มหัวใจอีกครั้ง หมอจึงได้แจ้งอัพเดทว่า ฟิล์มเอ็กซเรย์จากโรงพยาบาลเอกชนมาแล้ว พบว่าหัวใจผู้ป่วยถูกทำลายไปหมดแล้ว เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เชื้อโรคเข้าไปที่หัวใจ พอได้ยินก็รู้สึกช็อคไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง ยืนยันว่าลูกไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนเลยอยู่แต่บ้าน เวลาออกไปไหนสวมแมสก์ตลอด


ขณะนี้โรงพยาบาลกำลังตรวจหาชนิดของไวรัสอยู่ ยังไม่มีการระบุว่าเป็นไวรัสอะไร หมอบอกเพียงว่าเลือดเป็นกรด ไวรัสและเชื้อโรคเหล่านี้มันไปทำลายหัวใจจนบอบช้ำหมดแล้ว ค่าการอักเสบทางการแพทย์อยู่ที่ 97,000 ซึ่งหมอก็บอกด้วยว่าอาการรุนแรงแล้วถึงน้องรอดก็อาจไม่สามารถกลับมาพูดหรืออาจเป็นเจ้าหญิงนิทรา


ช่วงนี้คุณหมอพยายามปั๊มหัวใจช่วยชีวิตลูกเราเต็มที่ตามครบเวลาทางการแพทย์ ซึ่งหมอบอกว่าหากเกินอีก 5 นาที ไม่สามารถปั๊มต่อได้แล้วนะ แต่สุดท้ายน้องก็ไม่กลับมา ก่อนเสียชีวิตวันที่ 7 ม.ค.2568 เวลา 14.39 น.


คุณแม่เล่าต่อว่า ขณะเดียวกันตนได้ถามกับทางคุณหมอว่าไวรัสพวกนี้มาจากอะไร ซึ่งเขาได้รับคำตอบกลับมาว่า มันอยู่ในอากาศและอยู่ได้ทั่ว และหากโดนไวรัสแล้วสามารถไปทั่วทั้งร่างกาย ทั้งหัวใจ สมอง ปอด ฯลฯ


ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าลูกเกิดมาไม่มีโรคประจำตัวอะไรเลย เกิดมาปกติทุกอย่าง แต่ระหว่างเติบโตเคยติดเชื้อ RSV 1 ครั้ง และติดเชื้อโควิด 2 ครั้ง มันอาจทำให้ทางเดินหายใจหรือหลอดลมอ่อนแอ อาจจะเป็นไข้หรือปอดอักเสบได้ง่าย แต่ครั้งนี้หมอบอกว่า เชื้อไม่ได้ไปที่ปอด แต่เหมือนติดเชื้อในกระแสเลือดแล้วไปที่หัวใจ สาเหตุต้องมาจากไวรัสสักตัว ซึ่งหมอบอกไม่ได้ว่าเป็นไวรัสตัวไหน ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตระบุว่า กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ


ด้าน นพ.อนุ ทองแดง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชุมพร เปิดเผยว่า ขอประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนกตกใจ สำหรับเด็กหญิงอายุ 3 ขวบ ที่เสียชีวิตดังกล่าวนั้น อาจจะมาจากการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน เนื่องจากผู้ปกครองที่อยู่ในอาการช็อคเสียใจกับการสูญเสียลูกสาว ความจริงแล้วไวรัสชนิดดังกล่าวมีอยู่ทั่ว ๆ ไป หรือที่เรียกว่า Ennterrovirus (เอนเทอโรไวรัส) ซึ่งมีมานานแล้ว เป็นเชื้อไวรัสตัวเก่าไม่ใช่ตัวใหม่ เชื้อสามารถอยู่ได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมง ก็จะถูกทำลายไปกับแสงแดด ความร้อน ความแห้ง และสภาพอากาศ


นายแพทย์อนุ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ป่วยรายนี้ ซึ่งมีอาการป่วยก่อนเข้าโรงพยาบาล 2 วัน มีอาการไข้ คลื่นไส้ และต่อมามีชักเกร็ง จากนั้นผู้ปกครองพาเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแล้วเสียชีวิต ซึ่งข้อมูลจากผลเลือดทราบว่า ผู้ป่วยรายนี้ติดเชื้อไวรัสปกติ ทั่วไปในกลุ่มของ Ennterrovirus (เอนเทอโรไวรัส) แต่เชื้อได้ลงสู่หัวใจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบรุนแรงเฉียบพลันจนเสียชีวิต โดยทั่วไปแทบจะไม่มีผู้เสียชีวิตเลย ครั้งนี้ถือว่าอยู่ในอัตรา 0.01 % ซึ่งที่ผ่านมาใน จ.ชุมพร มีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ มีทั้งหมด 8 ราย ไม่มีใครเสียชีวิต แต่รายใหม่นี้เสียชีวิต


นายแพทย์อนุ กล่าวต่ออีกว่า ขอให้ประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนก เพราะไวรัสชนิดนี้ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพแวดล้อมและสังคมทั่ว ๆ ไปอยู่แล้ว ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดอันตรายรุนแรงและเสียชีวิต ถ้าเราป้องกันดูแลตัวเอง เช่น กินร้อนช้อนกลาง ทำความสะอาดพื้นผิว ล้างมือบ่อย ๆ ก็สามารถป้องกันไวรัสชนิดนี้ได้อยู่แล้ว


หลังเกิดเหตุนี้ขึ้นมาทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ลงพื้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่น้องไปเรียน และบ้านที่อยู่อาศัยของน้อง เพื่อสอบสวนโรค และให้คำแนะนำ ทำความเข้าใจ และการดูแลสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งขอยืนยันว่าไวรัสชนิดนี้ไม่ใช่ไวรัสตัวใหม่เหมือนที่เข้าใจกันในสื่อออนไลน์ จึงขอให้ประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนกตกใจ ให้ใช้ชีวิตตามปกติและดูแลสุขภาพปฏิบัติตนเองตามที่หมอแนะนำ


ขณะที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) นพ.กุลเสฏฐ ศักดิ์พิชัยสกุล กุมารแพทย์ประสาทวิทยา สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ระบุว่า จากการอ่านข้อมูลกรณีดังกล่าว พบว่าผู้ป่วยเป็นเด็กเล็ก มีอาการไข้ และมีอาการชักเกร็ง ร่วมกับหัวใจหยุดเต้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าอาการมีอยู่ 2 ส่วน คือชักเกร็งแล้วทำให้เกิดหัวใจหยุดเต้น ซึ่งอาการชักเกร็งเองก็อาจเกิดได้สองสาเหตุคือ การอักเสบของเชื้อโรคเข้าสมองโดยตรง หรืออาการชักเกร็งนี้เกิดจากหัวใจทำงานได้ไม่ดี และทำให้สมองขาดเลือดจนเกิดอาการคล้ายชักเกร็งตามมา ซึ่งทั้งสองภาวะนี้แยกกันยาก เพียงแต่ว่าสาเหตุของไวรัสทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบก็ทำให้เกิดอาการคล้ายชักได้ หรือ ไวรัสบางตัวก็สามารถเล่นงานหัวใจและสมองทำให้เกิดอาการสมองอักเสบและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลันได้


นพ.กุลเสฏฐ ระบุว่า สำหรับอาการชักเกร็งแล้ว ส่วนใหญ่หากเกิดจากสมองชักเกร็งแล้วจะกลับมาฟื้น ซึ่งเคสนี้มีบางจังหวะที่คุณแม่ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากชักเกร็งเด็กยังสามารถเรียกพ่อได้ แต่หลังจากนั้น อาการก็แย่ลง ซึ่งตรงนี้อาจมีภาวะสมองทำงานผิดปกติร่วมด้วย ซึ่งเราก็ระบุได้ไม่ชัดว่าสมองติดเชื้อจากไวรัสโดยตรง หรือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบแล้วทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอทำให้เกิดอาการคล้ายชัก แต่สำหรับอาการที่เห็นได้ชัดคือหลัหัวงจากนั้นหัวใจหยุดเต้น จนกล้ามเนื้ออักเสบและหัวใจทำงานไม่ได้


ส่วนที่หลายคนตั้งคำถามว่าสรุปแล้วไวรัสชนิดนี้คือไวรัสอะไรนั้น นพ.กุลเสฏฐ กล่าวว่า ไวรัสที่เราพบบ่อยจริง ๆ แล้วมีหลายชนิด แต่ที่เราพบบ่อยสุดและรู้จักกันคือ เชื้อที่เรียกว่า Enterovirus (เอนเทอโรไวรัส) ซึ่งส่วนใหญ่ติดมาจากอาหารการกิน ซึ่งอาจมีอาการมือเท้าปาก หรืออาการท้องเสีย แต่ในบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนเข้าสมองหรือหัวใจได้


นอกจากนี้ยังมีไวรัสตัวอื่น ๆ ที่อาการคล้ายกันโดยทั่วไปในทางปฏิบัติอาจตรวจแยกเชื้อไวรัสได้ไม่ครบทุกอัน และหากถามว่าการตรวจแยกไวรัสมีความจำเป็นหรือไม่นั้นต้องบอกว่า เหมาะสำหรับการศึกษาทางการแพทย์ เพื่อรู้ว่าไวรัสตัวไหนกำลังระบาด แต่ในทางรักษาค่อนข้างคล้ายกันคลึงกันคือรักษาแบบประคับประคอง คือ ดูแลรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว ทางเดินหายใจ หรือควบคุมอาการชัก ซึ่งไม่ได้มียาควบคุมไวรัสโดยตรง ดังนั้นในทางปฏิบัติแล้วเราอาจไม่ได้ตรวจหาไวรัสสำหรับทุกราย


ส่วนหากอยากทราบจริง ๆ ว่าเป็นไวรัสตัวไหนนั้นต้องตรวจพิเศษเช่น ตรวจทางเลือด ตรวจทางอุจจาระหรือการผ่าชันสูตรพลิกศพ ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถตรวจได้แต่อาจตรวจไม่เจอ


นพ.กุลเสฏฐ กล่าวว่า โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบพบน้อยมาก ซึ่งสามารถเกิดได้กับทุกช่วงวัยแต่ส่วนใหญ่มักเกิดกับ เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบลงไป ซึ่งอาการส่วนใหญ่จะพบว่ามีไข้สูง รวมทั้งจะมีอาการร่วมด้วย ซึ่งเด็กเล็กหากพบว่าป่วยเป็นโรคนี้เด็กเล็กหากติดเชื้อแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูง


ส่วนที่แม่เด็กให้ข้อมูลว่าเด็กเคยมีอาการติดเชื้อโควิดมาแล้ว 2 ครั้ง และติดเชื้อ RSV 1 ครั้ง เป็นสาเหตุร่วมด้วยหรือไม่ นพ.กุลเสฏฐ ระบุว่า เรื่องนี้ไม่มีผลเกี่ยวข้อง เมื่อถามอีกว่าจะเป็นหรือไม่ว่าโรคนี้จะเกิดขึ้นกับเด็กที่มีโรคประจำตัว คุณหมอบอกว่า ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับเด็กที่แข็งแรงทั้งนั้นเลย


“โรคนี้พบน้อยมากแต่พบตลอด ในช่วงที่เป็นกุมารแพทย์มา ซึ่งหากพบแล้วโรคนี้จะมีทางเข้าสู่หัวใจและสมอง คือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและอาจส่งผลทำให้สมองอักเสบร่วมด้วย ซึ่งทุกครั้งที่หมอที่พบเจอ แม้ว่าจะพบเร็วก็ยังหนักใจในการรักษา เพราะลำพังตัวโรคโอกาสเสียชีวิตรุนแรงมาก อีกทั้งหากเจอต้องรักษาแบบประคับประคองตามที่กล่าวไป” นพ.กุลเสฏฐ กล่าว

รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/r5Lj2YpqOEE

คุณอาจสนใจ

Related News