สังคม

สปสช.รู้ตัวแล้ว! แม่หัวหมอ พาลูกตระเวนเข้ารพ.อ้างเป็นภูมิแพ้ รับยาไปขายต่อ ซัดทำลายระบบประกันสุขภาพ

โดย petchpawee_k

19 ธ.ค. 2567

3.7K views

ดรามาแม่พาลูกตระเวน รพ.รักษาภูมิแพ้ ก่อนนำยามาขายต่อในออนไลน์แบบราคาถูก  ด้าน เลขาฯ สปสช. แจง หลังตรวจสอบ เจอบุคคลต้องสงสัยแล้ว 2 ราย พบรายแรกตลอดปี’67 ตระเวนขอยา 98 ครั้ง จาก 14 รพ. ได้ยามา 147 ขวด ชี้เคสนี้มีข้อมูลโยงกับเด็ก ส่วนอีกรายต้องสงสัย เบิกไป 318 ขวด จาก 118 ครั้ง ใน 31 รพ. จ่อลงพื้นที่สอบข้อเท็จจริงก่อนเอาผิด ระบุ เคยเอาผิดมาจนติดคุกมาแล้ว 3 กรณีฐานฉ้อโกง วอนอย่าทำเพราะเป็นการทำลายระบบฯ เสียทรัพยากร-ค่าใช้จ่ายของรัฐโดยใช่เหตุ

กรณีที่เฟซบุ๊กคุณหมอที่ใช้ชื่อว่า ”อนุชิต นิยมปัทมะ” หรือ หมอเอ หมอปอดโคราช ได้โพสต์ภาพยาฉีดพ่นจมูก แก้ภูมิแพ้ “Avamys” พร้อมกับข้อความว่า ”มารับยาที่โรงพยาบาล แล้วเอามาโพสต์ขายในเฟซบุ๊ก ทำอย่างนี้ไม่น่ารักเลย นโยบายรัฐประกันสุขภาพ เพื่อป้องกันคนล้มละลายจากการรักษา แต่ไม่ใช่เอามารายได้ ยาฟรี แต่ภาษีเรานะครับ พร้อมติด #กรมบัญชีกลาง #สปสช. #ประกันสังคม

สำหรับเรื่องที่คุณหมอนำมาโพสต์ เนื่องจากการที่มี ประชาชนหลายคนนำยาดังกล่าวโพสต์ขาย ในกลุ่ม "คุณแม่โคราช" คนแรกโพสต์ภาพยา พร้อมบรรยายว่า แก้ภูมิแพ้ คัดจมูก พ่นได้ 120 ครั้ง มีมาแบ่งปัน  ราคา 350 บาท ส่งฟรี

ส่วนอีกคนนำมาโพสต์ขายในกลุ่มเหมือนกัน ระบุว่า ยาพ่นจมูก #Avamys รักษาโรคภูมิแพ้ คัดจมูก แน่นจมูก หายใจไม่ออก พ่นจมูกข้างละ 1 ครั้ง เป็นประจำทุกวัน อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หมดอายุ 02-04-2027 พร้อมระบุราคา 450 บาท ส่งฟรี ไม่มีเก็บปลายทาง

หลังจากโพสต์นี้ถูกโพสต์ออกไปปรากฏว่ามีหลายคนออกมาแสดงความคิดเห็น ว่าหากมีการทำแบบนี้จริงส่งผลกระทบต่อระบบการจ่ายยา และตั้งคำถามว่าทำแบบนี้เป็นการตัดสิทธิคนที่เขาต้องการยาหรือไม่ กระทั่งมีหลากหลายเพจดังออกมาแสดงความคิดเห็น

เช่นเดียวกันกับเพจ Drama-Addict โพสต์ข้อความระบุว่า “แอดมินกลุ่มต่างๆ พึงระวัง พ่อแม่หัวหมอ พาลูกตระเวนไปตาม รพ.ต่างๆ บอกภูมิแพ้กำเริบ หมอจ่ายยาพ่นจมูกให้ ตระเวนทำหลายที่ ได้ยามาเป็นลัง แล้วเอาไปขายตามกลุ่มในเฟซ  ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ แต่เงินที่จ่ายยาคือภาษีประชาชน

การกระทำแบบนี้ ผิดกฏหมาย เป็นการบิดเบือนระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคทำให้ค่าใช้จ่ายบานเบอะ เงินรั่วไปสู่กระเป๋าพ่อแม่หัวหมอพวกนี้ และระบบจะพังพินาศไวขึ้น ซึ่งการทำแบบนี้ผิดกฎหมาย เคยมีเคสถูกฟ้องเข้าคุกมาแล้ว ขอให้หยุดทำ

แอดมินกลุ่มต่างๆพบเห็นเมื่อไหร่ ขอให้ช่วยกันลบ และแคปข้อมูลส่ง จนท.ตำรวจทันที

ต่อมาเพจ “Remrin” โพสต์ถึงเรื่องนี้เช่นกันโดยขยายความเพิ่มเติมจากเพจ Drama-Addict ข้อความระบุว่า ”สรุปคือยาพ่นตัวนี้แพงครับ หาค่อนข้างยาก แต่ถ้าจำเป็นก็เบิกได้ เลยมีแม่เด็กหัวหมอ คือลูกเป็นภูมิแพ้จริง ๆ แหละ แต่ลูกได้ยามากพอแล้ว แม่ก็อาศัยช่องโหว่ อย่างตอนนี้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท รักษาทุกที่ด้วย แม่ก็พาลูกเข้ารพ.ใหญ่นู่นนี้ แล้วก็เบิกยามา ยิ่งรพ.บางแห่งเบิกยาได้ที 6 เดือน ก็ 6 กล่อง (แต่ถ้าไม่ตรงสิทธิอาจจะได้ครั้งละ 1200 บาท) ก็เบิกหลาย ๆ ที่ รวม ๆ กัน เดือนนึงได้เป็นลังเลย


(สิทธิกรมบัญชีกลางก็มีน่าจะมีทำนะ แต่เห็นว่าตรวจประวัติการเบิกยาละเอียดกว่า เลยไม่แน่ใจว่ามีหลุดมาทำแบบนี้ได้ไหม)

แล้วแม่หัวหมอพวกนี้ ก็เอายาไปแกะฉลากออกหมด แล้วประกาศขายต่อตามกลุ่มแม่และเด็ก หรือที่เจอบ่อยสุดคือกลุ่มภูมิแพ้ครับ นี่แอบเข้าไปส่องนี่ ขายกันฉ่ำมากฟันกำไรเละเทะเลย

นี่เป็นอีกช่องโหว่นึงแหละ ที่ทำให้สิทธิบัตรทองหรือ 30 บาท ที่แบกภาระค่าใช้จ่ายหนักมาก ๆ อยู่แล้ว ต้องพังพินาศหนักขึ้นไปอีก

ส่วนแม่นั้น สมมติเดือนนึงเบิกมาได้ 30 กล่อง ขายกล่องละ 400 ก็ 12,000 บาท แล้วจ้า แล้วจะบอกว่าพวกนี้ไปทีไม่ได้เบิกแค่ตัวนี้ตัวเดียวนะ มียาอื่น ๆ ด้วย เพราะงั้นรายได้อาจจะมากกว่านี้อีก“

เมื่วานนี้ (18 ธ.ค.67) เรื่องนี้ทีมข่าวตรวจสอบไปยัง นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. กล่าวว่า ได้ตรวจสอบในระบบของ สปสช.แล้วในช่วงเวลาตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา มี 2 กรณีที่น่าสงสัย รายแรก พบว่า เบิกไป 318 ขวด จาก 118 ครั้ง ใน 31 สถานพยาบาล

ส่วนรายที่ 2 เบิกไป 147 ขวด จาก 98 ครั้ง ใน 14 สถานพยาบาล ที่แต่ที่น่าสงสัยคือบุคคลรายที่ 2 นี้ เนื่องจากว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับเด็กด้วย เบื้องต้นทราบชื่อ และข้อมูลหมดแล้ว แต่ยังไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด อยู่ระหว่างตรวจสอบโดยละเอียด ซึ่งทาง สปสช.เอง จะลงไปสอบสวนด้วยตัวเอง และต้องดูว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร    

ขณะเดียวกัน เคยมีกรณีที่ผู้ป่วยตระเวนไปขอยา และหมอคงเห็นว่าคนไข้มารับยา เราก็ให้ไป แต่ส่วนใหญ่ที่เกิดกรณีแบบนี้ขึ้น จะเป็นในพื้นที่ที่ยังไม่มีการเชื่อมข้อมูลกัน บางครั้งเวลาหมอสั่งยา อาจไม่มีข้อมูลเชื่อมกันว่าบุคคลนี้เคยไปเอายามาแล้ว วันไหน เวลาใด จึงอาจทำให้เกิดแบบนี้ขึ้นได้

นพ.จเด็จ ยืนยันว่า กรณีนี้ ทาง สปสช. จะเอาผิดทางกฎหมายสำหรับบุคคลที่กระทำการดังกล่าวอย่างแน่นอน  ซึ่งที่ผ่านมาเราเคยดำเนินการไปแล้ว 3 กรณีในฐานฉ้อโกง ซึ่งเอาผิดจนถึงที่สุด และ 3 กรณีได้ติดคุกไปแล้วด้วย

เมื่อถามว่ายาดังกล่าวบุคคลทั่วไปสามารถเบิกรับได้กี่ขวด  นพ.จเด็จ ระบุว่า ยาดังกล่าวต้องพ่นยา วันละ 3 ครั้ง 1 ขวดใช้ได้ประมาณ 2 เดือน เพราะฉะนั้นการใช้ยาสำหรับ 1 คนต่อปี คาดว่า 6 ขวดคงเพียงพอแล้ว ไม่ควรจะใช้กว่านี้

นพ.จเด็จ พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ยืนยันว่า ส่งผลกระทบกับระบบประกันสุขภาพอย่างแน่นอน แม้ว่าจะเกิดขึ้นบ้างประปราย และจากนี้เราคงต้องเข้มเรื่องการตรวจสอบมากยิ่งขึ้น  เดิมทีเรื่องระบบของการตรวจสอบเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้ว แต่จากนี้จะต้องมีการตั้งค่า เมื่อมีการมากเบิกยา และหากเบิกมากเกินจำนวนที่กำหนด ต้องเรียกข้อมูลมาตรวจสอบแบบทันท่วงที  ซึ่งเดิมทีเรามีระบบนี้อยู่แล้ว แต่บางครั้งทาง รพ.เอง อาจจะนัดคนไข้นาน จึงอาจให้ยากลับไปเป็นจำนวนมากก็มี ดังนั้น ต้องดูเรื่องความเหมาะสมด้วย

นพ.จเด็จ ฝากทิ้งท้ายว่า ไม่อยากให้ทำแบบนี้ เพราะนอกจากจะทำลายระบบแล้ว ยังมีปัญหาทางคดีด้วย และหากมองอีกด้าน คือ ด้านทรัพยากร หากไม่ทำแบบนี้ เราก็จะมีทรัพยากร มียาให้ผู้ป่วยหรือคนอื่นๆเมื่อมีความจำเป็นด้วย และไม่ควรทำให้ราชการเสียงบประมาณโดยไม่จำเป็น

ขณะที่ ผศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ นายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงเรื่องดังกล่าวด้วยว่า “กรณีมีคนโพสต์ขายยาในกลุ่ม FB ทาง อย. ควรเอาผิดทางอาญากับผู้ขายแล/ หรือแอดมินเพจ และควรแจ้งให้ประชาชนทราบว่า ผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้นถึงขายยาแผนปัจจุบันได้“    


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/gLocx_omG9A


คุณอาจสนใจ

Related News