สังคม
ตั้งกรรมการสอบ! 7 ตร.บก.จร. รุมตื้บลูกชายอดีตตร.กลางด่าน อ้างจำผิดคัน พ่อยันเอาเรื่องถึงที่สุด
โดย petchpawee_k
5 ธ.ค. 2567
65 views
ลูกชายอดีตตำรวจ ถูกตำรวจ บก.จร. รุมกระทืบกลางด่านจนคอนแทคหลุด อ้างจำรถแหกด่านผิดคันบอกเข้าใจผิดพร้อมขอโทษและเกลี้ยกล่อมไม่ให้เอาเรื่อง -ผู้การจราจร ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง พร้อมย้าย 7 ตำรวจยศ ร.ต.อ.-ส.ต.อ.-ส.ต.ท.เข้า ศปก. กลุ่มตำรวจที่ก่อเหตุโยนให้ผู้บังคับบัญชาชี้แจง น้องสาวผู้เสียหายจี้ให้ออกจากราชการ ด้านพ่อ ลั่น! ไม่ยอมความ แจ้งความเพิ่ม ม.157-กักขังหน่วงเหนี่ยว
วานนี้ (4 ธ.ค.) น.ส.ธนัชตา อายุ 29 ปี น้องสาวของนายธนานพ อายุ 33 ปี เดินทางมาร้องทุกข์ พงส.บก.ปปป.ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้พนักงานสอบสวนกองปราบฯ พิจารณาว่าพฤติกรรมของกลุ่มตำรวจดังกล่าว เข้าข่ายพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทาให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้หลังเกิดเหตุได้ไปแจ้งความไว้ที่ สน.บางเขน ในข้อหาทำร้ายร่างกาย หลังพี่ชายคือนายธนานพ ถูกตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) 7 นาย (ยศ ร.ต.อ. 1 นาย/ ส.ต.อ. 5 นาย/ ส.ต.ท.1 นาย) รุมกระทืบได้รับบาดเจ็บสาหัสอ้างจำรถผิดคัน เหตุเกิดเมื่อช่วงเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 4 ธ.ค.2567 บริเวณถนนเกษตร-นวมินทร์
ทีมข่าวลงพื้นที่กล้องวงจรปิดใกล้กับด่านตรวจของตำรวจ บก.จร. บริเวณริมถนนเกษตร-นวมินทร์ บันทึกภาพในขณะหลังเกิดเหตุ ตอนตี 2 ที่ตำรวจนำตัวนายธนานพ ผู้เสียหาย มาจากจุดที่ควบคุมตัว กลับมายังเต็นท์ชั่วคราวที่ตั้งของด่านตรวจแล้ว โดยนำรถยนต์มาสด้า 2 สีแดง ของผู้เสียหาย มาจอดไว้ริมถนน โดยมีตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ วนเวียนเข้ามาพยายามตรวจสอบรถคันดังกล่าวของผู้เสียหาย
น.ส.ธนัชตา น้องสาวผู้เสียหาย ให้ข้อมูลว่า เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. (4 ธ.ค.) พี่ชายได้ขับรถยนต์มาสด้า 2 สีแดง ทะเบียน กรุงเทพ จากอุโมงค์เกษตร มุ่งหน้าแยกลาดปลาเค้า เมื่อถึงช่วงตอหม้อ 12-13 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ของกองบังคับการตำรวจจราจร โดยพี่ชายขับรถมาคนเดียว ถูกเรียกตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ และเป่าถึง 3 ครั้ง แต่ปริมาณแอลกอฮอล์ ยังเป็น 0 เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวออกจากด่านไปตามปกติ
จากนั้นไม่เกิน 1 นาที ห่างจากด่านไม่เกิน 500 เมตร ปรากฏว่ามีรถจักรยานยนต์ 2-3 คัน พร้อมคนขับขี่ 4-5 คน เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบรวมทั้งรถปิคอัพสายตรวจ ของตำรวจที่แต่งเครื่องแบบเต็มยศ ขับติดตามไล่มาด้านหลัง พร้อมกับขับประกบด้านซ้าย ขวา พร้อมกับเปิดสัญญานไฟ เพื่อให้นายธนานพ จอดชิดซ้าย ซึ่งเลยจากแยกลาดปลาเค้า ไปประมาณ 300-400 เมตร
จากนั้นนายธนานพ เปิดประตูลงจากรถ กลุ่มตำรวจพร้อมชายนอกเครื่องแบบ รวม 7 คน ซึ่งมีนายตำรวจระดับ “ร้อยตำรวจเอก” เป็นหัวหน้าด่าน ได้นำตัวนายธนานพ ไปบริเวณริมฟุตบาท พร้อมกับใส่กุญแจมือ และรุมทำร้ายร่างกาย ด้วยการเตะเข้าที่ก้านคอ ใบหน้า และลำตัว จนเลือดอาบหน้า นัยน์ตาฝ้าฟาง เพราะคอนแทคเลนส์หลุด ขณะเดียวกันยังกล่าวหาว่านายธนานพ แหกด่าน โดยใช้คำพูดว่า “มึงแหกด่านมาทำไม เดี๋ยวจะเอาตัวไปตรวจสอบ ถ้าแหกด่านมาจริง จะโดนหนักกว่านี้”
หลังจากนั้นกลุ่มตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ ได้คุมตัวนายธนานพ กลับมาที่ด่านตรวจฯ อีกครั้ง พร้อมกับตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ประจำด่าน พบว่าคนที่ตำรวจตามไปทำร้ายนั้น เป็นการทำร้ายผิดคัน โดยอ้างว่ารถลักษณะคล้ายกันและได้กล่าวขอโทษ โดยมีพ่อของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นตำรวจยศ พันตำรวจโท เดินทางมาที่ด่านตรวจด้วย
น.ส.ธนัชตา กล่าวต่อว่า ตัวเองก็ได้เดินทางมาที่ด่านตรวจ ด้วยเช่นกันแต่ตำรวจที่ประจำด่านตรวจ พยายามจะปกปิดข้อมูล ไม่ให้ข้อเท็จจริง พร้อมกับขอไม่ให้เอาเรื่อง และเปลี่ยนอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากนั้นกลุ่มตำรวจได้พาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล โดยตนเองได้ตามไปด้วยและถ่ายคลิปไว้ตามที่ปรากฏในโซเชียล ตนพยายามสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจที่อยู่ในคลิปก็เล่าให้ฟัง ก่อนจะยอมรับอ้างว่าจำรถผิดคัน เข้าใจผิดกัน ตำรวจยังบอกอีกว่าคุยกับพ่อขอโทษพ่อเราแล้ว เป็นเหตุชุลมุน เป็นเหตุเข้าใจผิด
น.ส.ธนัชตา ระบุว่าส่วนตัวมองว่ารถจะผิดคันหรือไม่ ตำรวจก็ไม่มีสิทธิ์ทำรุนแรงกับใครแบบนี้ เพราะการทำร้ายพี่ชาย นานถึง 5 นาที มันเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จนถึงขั้นคอนแทคเลนส์หลุด โดยพี่ชายบอกว่า ในใจตอนนั้นต้องกลับไปหาแม่ที่บ้านได้ เพราะยังไงก็ไม่ยอมตาย โดยทางครอบครัวยืนยันไม่ยอมความและจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ตำรวจทั้ง 7 นาย ทำเกินไปแล้วจะเยียวยาอย่างไรกับคนที่ไม่ผิด อาการพี่ชายตอนนี้สู้แสงไม่ได้เลยต้องปิดไฟเยี่ยม รู้สึกเจ็บใจทำพี่เราได้ยังไง เป็นตำรวจไม่ละอายแก่ใจบ้างเหรอ
ขณะที่วานนี้ (4 ธ.ค.) พ.ต.ท.ธนชัย เกิดศรี หรือสารวัตรเจี๊ยบ อดีตพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือ ปทส. พ่อของผู้เสียหาย ได้เดินทางไปที่ สน.บางเขน เพื่อให้ปากคำและแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มกับตำรวจทั้ง 7 นาย ในข้อหาในส่วนของ ม.157 และกักขังหน่วงเหนี่ยว
สารวัตรเจี๊ยบ ให้สัมภาษณ์เจ้าตัวน้ำตาซึมเผยอาการของลูกชาย หมอยังคงเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง หมอระบุว่ามีอาการเลือดคั่งทางสมอง ลำตัว ใบหน้า แขนเต็มไปด้วยแผลฟกช้ำ เส้นเลือดฝอยในตาแตก จึงต้องดูแลอาการอย่างใกล้ชิด เบื้องต้นหมอประมาณการค่าใช้จ่าย 48 ชั่วโมงเกือบ 100,000 บาท
ตนยอมรับว่าหลังเห็นสภาพลูกชาย ตนรู้สึกรับไม่ได้ เพราะตนก็เป็นอดีตตำรวจจราจรสังกัด ตำรวจจราจรกลาง มากกว่า 10 ปี ก่อนย้ายมาประจำ บก.ปทส. หรือตำรวจป่าไม้ ตนไม่เคยกระทำการกับใครในลักษณะนี้มาก่อน ที่สำคัญการจับกุมมีขั้นตอนมีระเบียบระบุไว้ชัดเจนว่าต้องปฏิบัติอย่างไร แต่ทำไมเหตุการณ์นี้ ตำรวจทั้ง 7 นาย ไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว ดังนั้นต้องดำเนินการทางกฎหมายเอาผิดให้ถึงที่สุด
สารวัตรเจี๊ยบ ยังระบุอีกว่า เหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับใคร ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เหตุการณ์แบบนี้มันควรจะเกิดตอนที่ตนเองรับราชการใหม่ ๆ สมัยหนุ่ม ๆ คือย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ไม่ใช่มาเกิดในยุคปัจจุบันในยุคที่สังคมมันเปลี่ยนไปในยุคที่เทคโนโลยี และ Social Media ที่สำคัญปัจจุบันการทำงานของตำรวจมีระเบียบ ก.ตร ควบคุม มีขั้นตอนการปฏิบัติ มี พ.ร.บ.อุ้มหาย ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม แต่เหตุการณ์นี้ไม่มี หากปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับดังกล่าว อาการแบบนี้ก็ไม่น่าจะเกิดจากที่สำคัญกฎระเบียบ ขั้นตอนเหล่านั้นก็จะช่วยปกป้องตัวตำรวจเอง
สารวัตรเจี๊ยบ ระบุว่า ที่ผ่านมาทุกคนรู้อยู่แล้วว่าการทำงานของตำรวจมีกฎ มีระเบียบที่ต้องปฏิบัติ เมื่อไม่ปฏิบัติก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ตามมา ตนรักอาชีพนี้ หากไม่รักคงไม่อยู่มาจนถึงเกษียณอายุราชการ แต่ตลอดระยะเวลา 30 ปี ไม่เคยกระทำ ต่อผู้ต้องหาหรือประชาชนแบบนี้มาก่อน หากต้องฝากคงบอกว่าอย่าลืมปฏิบัติตามกฎตามระเบียบตามข้อบังคับตามขั้นตอน ซึ่งทุกคนก็รู้อยู่ดี และการกระทำในลักษณะนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ส่วนตัวไม่ใช่คนอาฆาตพยาบาทใคร ให้อภัย แต่เรื่องของกฎหมายก็ว่ากันไปตามนั้น ตอนนี้โฟกัสแค่ให้ลูกหายดี อยู่กับลูก ให้ลูกรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยที่สุด
ขณะเดียวกันน้องสาวของผู้เสียหาย ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล กรณี “กระทำเกินกว่าเหตุโดยไม่ตรวจสอบให้ถูกต้อง” กับตำรวจทั้ง 7 นาย และมีความประสงค์ “ให้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นและดำเนินคดีทางกฎหมายจนถึงที่สุด และให้ผู้ที่กระทำความผิดทั้งหมดออกจากราชการทุกคน” พร้อมตั้งคำถามทำไมถึงไม่ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนและถูกต้อง การดึงคนลงจากรถแล้วกระทืบมันเกินกว่าเหตุหรือไม่
ขณะที่ พลตำรวจโท สยาม บุญสม รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เผยว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พร้อมมีคำสั่งให้ตำรวจทั้ง 7 นาย หยุดปฏิบัติหน้าที่จากหน้าที่เดิม ให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการจราจรแทน เพื่อรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง
แต่เบื้องต้นยอมรับว่าทางตำรวจทั้ง 7 นาย ได้ติดตามควบคุมตัวผู้ขับขี่รถยนต์คันหนึ่งที่พยายามขับฝ่าด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ในจุดดังกล่าว จึงติดตามเพื่อสกัดจับ ก่อนพบรถยนต์ที่มีลักษณะคล้ายกันตำรวจจึงเข้าควบคุมตัว แต่ผู้ขับขี่มีท่าทีขัดขืน ทำให้ตำรวจใช้กำลังเข้าควบคุมตัว ก่อนมาทราบภายหลังว่าเข้าจับผิดคัน
ซึ่งหลังเกิดเหตุก็ได้นำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาล พร้อมขอโทษแต่ทางญาติผู้ได้รับบาดเจ็บไม่ขอยอมความ จึงเดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.บางเขน ส่วนการใช้กำลังเข้าควบคุมตัวเกินกว่าเหตุหรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่ญาติประสงค์จะดำเนินคดีเป็นสิทธิ์ของผู้เสียหาย ว่าไปตามกฎหมาย
นอกจากนี้ทีมข่าวได้ติดต่อไปยัง ร.ต.อ. ตำรวจ บก.จร.หนึ่งใน 7 นาย เจ้าตัวรับโทรศัพท์แล้วพูดว่า “ขออนุญาติครับพี่พอดีผมพักผ่อนอยู่” แล้วตัดสายทิ้ง
ทีมข่าวโทรหา ส.ต.อ.นายหนึ่ง รับโทรศัพท์แล้วให้ข้อมูลว่า “เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันครับ” แล้วนิ่งเงียบไป พอโทรกลับไปก็ไม่รับสายอีก
จากนั้นทีมข่าวโทรหา ส.ต.อ.อีกนาย รับโทรศัพท์แล้วพูดว่า “ผมเป็นชั้นประทวนจะให้สัมภาษณ์ต้องติดต่อเจ้านายก่อน ต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้านายก่อน ผมให้สัมภาษณ์ไม่ได้เพราะมีโทษทางวินัย“ เมื่อถามว่าหลังเกิดเหตุผู้บังคับบัญชาว่าอย่างไรบ้าง เจ้าตัวบอกว่า “ผมให้คำตอบไม่ได้จริง ๆ”
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/3EzHr7LeK3M
แท็กที่เกี่ยวข้อง รุมกระทืบ ,รุมตื้บ ,ทำร้ายร่างกาย ,จับผิดคน