สังคม

'แม่สามารถ' วอนลูกอย่าอดอาหาร เผยแฟชั่นคือความสุข - DSI แจงแม่เอาผ้าปูเตียงพันคอจริง

โดย passamon_a

28 พ.ย. 2567

33 views

แม่สามารถ ยืนยันใช้ผ้าผูกคอหวังทำร้ายตัวเองจริง ลั่นไม่ดรามา ไม่เสแสร้ง ท้าคนบอกกุเรื่องไปดูกล้องวงจรปิด DSI ได้เลย วอนลูกชาย อย่าอดอาหารเลย ให้ใช้สติปัญญาแก้ปัญหา - โฆษกดีเอสไอ แจง แม่สามารถเอาผ้าปูเตียงมาพันคอจริง


เมื่อวันที่ 27 พ.ย.67 ที่อาคารมาลีนนท์ ภายหลังเมื่อวันที่ 26 พ.ย. ศาลมีคำสั่งให้ประกันตัว นางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ มารดาของนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ในคดีร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน


นางวิลาวัลย์ แม่ของนายสามารถ เปิดใจกับสื่อมวลชนอีกครั้ง โดยระบุว่า ตอนนี้ยังคงอยากขอความเป็นธรรม ขอความยุติธรรม ให้กับลูกชาย อยากให้ลูกได้ประกัน และออกมาต่อสู้ในชั้นศาล ส่วนตัวเองยังคงยึดมั่นในความดี ความถูกต้องของตัวเองเช่นเดิม


คุณแม่ยังกล่าวต่อว่า ส่วนตัวยังไม่รู้ว่าจะไปเยี่ยมลูกหรือไม่ เพราะยังอยู่ในขั้นตอนขอประกัน ซึ่งล่าสุดทนายความได้เข้าไปเยี่ยมแล้วก็ทราบมาว่าลูกชายค่อนข้างเครียด ตัดสินใจอดข้าวประท้วง แต่ล่าสุดช่วงเช้า วันที่ 27 พ.ย. ทราบมาว่าลูกชายดื่มแค่น้ำเพื่อร้องขอความเป็นธรรม ตนก็อยากบอกลูกอีกครั้งว่า “ทำแบบนี้ไม่ได้นะลูก หนูต้องสู้ การอดข้าวไม่ใช่ทางออกที่ดี เราออกมาใช้สติปัญญาดีกว่า ว่าเราจะแก้ปัญหาเหล่านี้ยังไง ซึ่งตนก็ยังเป็นกำลังใจให้ลูกต่อไป” ขณะเดียวกันมีความเป็นห่วงลูกมาก เพราะลูกก็มีโรคประจำตัวคือโรคตับอักเสบ เป็นห่วงเขามากเพราะเราให้เขาเกิดมาแล้ว ก็บอกลูกตลอดว่าให้สู้ ๆ


ส่วนประเด็นคุณแม่มีอาการชักเกร็งระหว่างอยู่ห้องคุมขังของดีเอสไอ รวมทั้งมีการพยายามใช้ผ้าปูเตียงผูกมัดคอตัวเองนั้น คุณแม่ของนายสามารถ ยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ทำจริง ไม่มีการเสแสร้ง และไม่ดรามา ส่วนกระแสข่าวที่บอกว่าตัวเองกุเรื่องนี้ขึ้นมานั้น คุณแม่บอกว่าให้ไปดูกล้องวงจรปิดได้เลยว่าเกิดอะไร มีเวลาระบุชัดเจน


ส่วนสาเหตุที่ตัดสินใจทำแบบนี้เพราะว่าขณะนั้นไม่อยากเป็นคนต่อแล้ว เพราะมองว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่ออะไร จึงเอาผ้าปูเตียงมาผูกแต่บังเอิญเจ้าหน้าที่มาช่วยทัน


คุณแม่ของนายสามารถ ยังไล่เรียงจำนวนเงินที่บอสพอลโอนเข้าบัญชีให้คุณแม่เพิ่มเติม ว่า ประเด็นนี้ครั้งนี้ไม่ขอตอบ เพราะเรื่องอยู่ในสำนวนแล้ว แต่ยืนยันได้ว่าเงินเหล่านี้เป็นเงินทำบุญและเป็นเงินที่หยิบยืมมา ส่วนตัวเป็นคนทำบุญเยอะมาก ทำบุญทุกเดือน ยกตัวอย่างว่า 1 เดือนมี 30 วัน ทำบุญไปแล้ว 25 วัน


คุณแม่ ยังระบุอีกว่า ส่วนตัวไม่ได้สนิทกับบอสพอล แต่เป็นการคุยผ่านลูกชายเท่านั้น ส่วนที่บอสพอโอนเงินค่าทำบุญมาเนื่องจากว่าลูกชายไปบอกและบอสพอลมีจิตร่วมบุญเท่านั้น ซึ่งเงินของบอสพอลถูกโอนเข้ามาบัญชีแม่โดยตรง ส่วนเงิน 100 ล้านบาทที่เข้าบัญชีตนนั้น ยืนยันว่าไม่มียอดนี้อย่างแน่นอน เป็นเพียงเงินหมุนเวียนตลอดในช่วงปี 2564 ที่เปิดบัญชีถึง 2567 เท่านั้น ซึ่งเงินหมุนเวียนทั้งหมดเป็นเงินที่มาจากทุกทางไม่ขอเจาะลึกในรายละเอียดเพราะเป็นสิทธิ์ส่วนตัว


ส่วนยอดเงิน 2.5 ล้าน ที่ดีเอสไอระบุว่า ยอดนี้มาจากบอสพอล ส่วนมีอีกยอด 5 แสนที่เข้าบัญชีแม่ มาจากบอสปีเตอร์นั้น คุณแม่ยืนยัน ไม่มียอดเงินจากบอสปีเตอร์อย่างแน่นอน ส่วนลูกชายตัวเองไปรู้จักกับบอสพอลได้อย่างไรนั้นไม่ทราบที่มา ส่วนเงินที่ยืมบอสพอลและได้คืนโดยผ่านบัญชีลูกชาย เนื่องจากว่าตัวเองไม่มีบัญชีของบอสพอลจึงโอนให้ลูกชายโอนต่อให้ พร้อมยืนยันว่าบัญชีดังกล่าวตัวเองใช้บัญชีนี้คนเดียว


นอกจากนี้ คุณแม่ยังไล่เรียงถึงสาเหตุที่เขียนจดหมายให้นักข่าวระหว่างคุมตัวไปฝากขังที่ศาลอาญาว่า ที่ส่งจดหมายเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะคิดว่าตัวเองควรได้รับการประกันตัวในชั้นดีเอสไอ แต่ปรากฏถูกนำตัวไปฝากขังจึงมองว่าถูกกลั่นแกล้ง ซึ่งก่อนเขียนคุณแม่บอกว่าดีเอสไอได้ยื่นเอกสารดังกล่าวให้ตนเซ็น พออัดเอกสารดังกล่าวรู้สึกว่าจะไม่ได้ประกัน จึงเอาปากกาเขียนข้อเรียกร้อง 8 ข้อลงด้านหลังกระดาษ เพื่อขอความเป็นธรรม และคิดว่าผู้สื่อข่าวทุกคนสามารถเป็นกระบอกเสียงให้ตัวเองได้


ส่วนระหว่างการคุมตัวสองแม่ลูกฝากขัง นายสามารถบอกกับนักข่าวว่า “อยากพูดแต่พูดไม่ได้” มีใครสั่งหรือไม่ ประเด็นนี้คุณแม่บอกว่า “มีคนสั่ง และลูกชายก็ไม่สามารถพูดได้จริง ๆ แต่ขอไม่ลงลึกในรายละเอียด”


ส่วนประเด็นเรื่องโต๊ดเต็ง (หวย) ยอมรับว่ามีเงินจากโต๊ดเต็งหมุนเวียนในบัญชีด้วย พร้อมบอกว่าเงินหมุนเวียนเข้าทุกงวดแต่ไม่ขอระบุยอดเงินว่าเข้าออกเท่าไหร่ ก่อนพูดติดตลกว่า “เดี๋ยวโดน ๆ”


ส่วนประเด็นค้างค่าเช่าบ้านประมาณ 2 แสนกว่าบาทนั้น คุณแม่บอกว่า ไม่ถึงยอดนั้น เพราะตัวเองอยู่บ้านหลังนี้มา 10 กว่าปีแล้ว เป็นความผิดพลาดของตนเองที่ไปเช่าทั้งตึก ภาระจึงมาอยู่ที่ตนหมดเลย ส่วนกรณีที่เพื่อนบ้านบอกว่าฝากคุณแม่จ่ายค่าเช่าบ้าน แต่คุณแม่ไม่ไปจ่ายนั้นประเด็นนี้ขอบอกว่าถูกใส่ร้าย


ขณะเดียวกัน คุณแม่ยังเล่าถึงประเด็นที่ลูกชายไปโผล่อยู่จังหวัดเชียงรายวันที่ตำรวจออกหมายจับว่า ทราบเพียงว่าลูกชายไปจุดเทียนชัย แต่ยืนยันได้ว่าลูกชายไม่มีเจตนาหลบหนีอย่างแน่นอน เพราะว่าพระอาจารย์พกโชคบอกว่าสามารถดวงไม่ดีให้มาจุดเทียนชัย ซึ่งลูกได้ตีตั๋วเครื่องบินกลับไว้แล้วช่วงเวลา 23.00 น. แต่พอโดนจับ ลูกชายก็ไปมอบตัวที่โรงพัก ดีเอสไอถึงมารวบ ก่อนเปลี่ยนไฟจาก 23.00 น. เป็น 21.00 น.


คุณแม่ยังกล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสองแม่ลูกมองว่าเป็นเรื่องทางการเมือง ถ้าเป็นคนโนเนม เขาจะมาเอาเรื่องหรือไม่ ส่วนตัวรู้ว่าเป็นใครแต่ไม่ขอเอ่ยชื่อ อีกทั้งยังเชื่อว่าลูกชายไปขัดแข้งขัดขาผู้มีอำนาจ ตนจึงขอขมาต่อหน้าสื่อแทนลูก แต่เชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองสื่อออกมานั้นน่าจะไปถึงบุคคลคนนี้แล้ว และที่ตัดสินใจออกมาเผชิญหน้าครั้งนี้เพราะคิดว่าตัวเองสู้ไม่ได้ ไม้ซีกไม่สามารถไปงัดไม้ซุงได้ ซึ่งตัวเองก็ยอมรับชะตากรรมนี้แล้วเช่นกัน


จากนั้นคุณแม่ได้ขอโอกาสให้ลูกชาย ว่า ประเทศไทยเรายังต้องการคนเก่ง ซึ่งตนไม่ได้ชมว่าลูกชายเป็นคนเก่งและไม่ได้ปกป้องลูกชาย เพราะให้ลูกชายเป็นตัวแทนของประชาชน มาเป็นกระบอกเสียงของประชาชน มาช่วยกันให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองดีกว่า ฉะนั้นประเทศไทยเราต้องมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และถ้าถ้ามีโอกาสอยากให้ลูกชายได้กลับเข้าสู่การเมืองเพื่อช่วยเหลือประเทศชาติ


ส่วนประเด็นที่อยากให้ลูกกับมาเล่นการเมืองแต่อาจจะมีบางส่วนที่ประชาชนมีความเชื่อมั่นในตัวนายสามารถลดน้อยลง คุณแม่บอกว่า เรื่องนี้ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ “พรุ่งนี้ยังมี ดังนั้นมันก็จะมีพรุ่งนี้ไปเรื่อย ๆ”


ขณะเดียวกันอีกหนึ่งอาชีพของคุณแม่คือเป็นหมอดู คุณแม่บอกว่าคุณแม่ได้ดูดวงของตัวเองมาแล้ว โดยคุณแม่ เล่าว่า ดวงของตัวเองช่วงนี้ ราหู ราหูเสวยพระเสาร์แทรก ซึ่งตนโดนทั้งราหูและพระเสาร์ ส่วนของลูกชายก็โดนราหูเช่นกัน พร้อม ๆ กันทั้งแม่และลูก แต่ยืนยันว่าทั้งแม่และลูกจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน เร็ว ๆ นี้จะได้ประกันเพราะคิดว่าศาลจะให้ความยุติธรรม


ขณะเดียวกันได้ดูดวงผู้ใหญ่ที่มีอำนาจเช่นกันว่าจะเมตตาหรือไม่ คุณแม่บอกว่า ได้ขอขมาไปแล้วให้ ท่านเมตตาและอโหสิกรรมให้ อย่าก่อนเวรซึ่งกันและกันเลย


คุณแม่ยังเล่าถึงสไตล์การแต่งตัวของตัวเองที่กำลังเป็นที่ฮือฮาด้วยว่า “นี่คือความสุข เป็นความสุขที่ใครแย่งไปไม่ได้ และเป็นคนไม่แคร์สื่อค่ะ เป็นคนที่ใส่เสื้อผ้าตามวัน ยังไงก็ต้องสวยไว้ก่อนนะคะ” อย่างเมื่อวานที่ทุกคนเห็นว่าเป็นสีฟ้า ความจริงแล้วไม่ใช่สีฟ้าแต่เป็นสีเขียวเหนี่ยวทรัพย์ แต่ที่เห็นว่าเมื่อวันก่อน (วันจับ+ฝากขัง) ใส่สีเหลืองก็เพราะว่าถูกดีเอสไอจากเมื่อวันจันทร์ และวันอังคารที่ถูกคุมตัวฝากขังไม่ได้เปลี่ยน เพราะมีความเชื่อว่าถ้าวันไหนไม่ใส่สีเสื้อตามวันจะไม่ได้กลับบ้าน และไหว้พระ ทำบุญ มูเตลูตลอด


กรณีที่คุณแม่ของนายสามารถ บอกว่ามีอาการชักเกร็งนั้น ทีมข่าวสอบถามไปที่ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ ผู้อำนวยการกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ และในฐานะโฆษกดีเอสไอ ชี้แจงว่า วันที่มีการรับตัวเข้ามา ได้รับแจ้งจากผู้คุม ซึ่งผู้ดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ต้องหาว่าแม่ของคุณสามารถ มีอาการชักเกร็ง เหมือนคนคล้ายเป็นลม ทางเจ้าหน้าที่จึงเรียกรถพยาบาล 1669 จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เพื่อรับตัวไปพบแพทย์ตามสิทธิ์ของผู้ต้องหาทั่วไป ที่จะต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็ว เมื่อเจ็บป่วย โดยแพทย์ตรวจแล้ว พบว่าแม่คุณสามารถมีอาการกังวล และความเครียด และไม่พบว่าเป็นอันตราย แพทย์จึงอนุญาตให้พากลับมาได้


ซึ่งในตอนแรก แม่ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ประกอบกับความเครียด แต่ก่อนนอนสักพักนึง เริ่มรู้สึกว่าตัวเองหิว ทางเจ้าหน้าที่จึงจัดอาหารให้ เมื่อทานอาหารเสร็จก็หลับยาว


ส่วนข้อเท็จที่แม่คุณสามารถอ้างว่า ใช้ผ้าปูเตียงมาผูกคอในห้องขัง และมีเจ้าหน้าที่มาเห็น และบอกแม่อย่าทำแบบนี้ ทาง ร.ต.อ.สุรวุฒิ บอกว่า ข้อเท็จจริงที่คุณแม่บอก ก็เป็นข้อเท็จจริงคล้าย ๆ แบบนั้นเกือบ 100% ซึ่งเป็นเหตุการณ์ตอนเช้า ก่อนจะส่งตัวไปยังศาล คุณแม่ก็มีลักษณะการกระทำ เอาผ้าปูที่นอนที่พันคอ คล้ายจะทำร้ายตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ทำตรงร้อยเปอร์เซ็นต์ มีการพันคอจริง แต่ผ้าปูเตียงมันก็ยาว


จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ที่เห็นพฤติกรรมว่า แบบนี้อาจจะไม่ดี และจะเป็นอันตรายได้ จึงได้ไปพูดคุยและเอาออก ซึ่งแม่ก็รับฟังด้วยดี สื่อสารด้วยดี หลังจากนั้นก็นำส่งไปที่ศาล


โดยเรื่องราวที่คุณแม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ก็เป็นข้อเท็จจริงส่วนหนึ่ง แต่การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับเรียบร้อย ตามมาตรฐานความปลอดภัยผู้ต้องขังทั่วไป


ส่วนกรณีการให้สัมภาษณ์ของผู้ต้องหา ก็มีสิทธิ์ที่จะให้การ แต่เวลาให้ข้อเท็จจริง มองว่าควรให้กับพนักงานสอบสวน เพราะรายละเอียดที่ให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงก็จะเป็นพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ควรจะให้กับพนักงานสอบสวน เพราะอยู่นอกสำนวนไม่ได้ ต้องมายื่นคำร้องให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม มาแสดงต่อพนักงานสอบสวน


คุณอาจสนใจ

Related News