สังคม

DSI แจ้งข้อกล่าวหาบริษัทและ 18 บอส ดิไอคอนเพิ่มฐานร่วมกันทำผิด 3 ข้อหา

โดย kanyapak_w

11 พ.ย. 2567

311 views

DSI แจ้งข้อกล่าวหาบริษัทและ 18 บอส ดิไอคอนเพิ่มฐานร่วมกันทำผิด 3 ข้อหา กฎหมายขายตรง-แชร์ลูกโซ่ ไม่ขัดข้องหากนำหลักฐานมาแจงความบริสุทธิ์


ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 70/2567 ของกองบังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กรณีดำเนินคดีอาญากับ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก รวม 19 ราย ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” มาทำการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เป็นคดีพิเศษที่ 119/2567 และมีผู้ต้องหาจำนวน 19 ราย เป็นนิติบุคคล 1 ราย คือบริษัทอิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารบริษัทฯ อีก 18 คน ถูกคุมขังระหว่างการสอบสวนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง นั้น


วันนี้ (11 พฤศจิกายน 2567) เวลา 10.00 น. พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ประกอบด้วย ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะ รองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ พันตำรวจโทอนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และ ร้อยตำรวจเอก สุรวุฒิ รังไสย์ ผู้อำนวยการกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ในฐานะคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษในสังกัดเดินทางไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง



เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้กับผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมอยู่ทั้ง 18 คน และในฐานะผู้แทนนิติบุคคลอีก 1 ราย  ในความผิดฐาน (1) “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” อันเป็นความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (2) “ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น” และ (3) “ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต”



อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากภายหลังที่รับสำนวนการสอบสวนมาดำเนินการแล้ว มีการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมโดยพบพยานหลักฐานที่เข้าองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายดังกล่าวและเห็นว่าพฤติการณ์และการกระทำของผู้ต้องหาทั้งหมดมีการร่วมกันกระทำการในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ ประกอบด้วยทีมบริหาร แม่ทีมบรรยายชักชวนร่วมลงทุน และทีมผู้มีชื่อเสียงที่สร้างตัวตนให้เห็นถึงความร่ำรวยจากการประกอบธุรกิจ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้แจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวกับผู้ต้องหาทั้งหมด




หลังจากนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะให้โอกาสผู้ต้องหาทั้ง 19 คน (รวมนิติบุคคล) นำพยาน หลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย หากประสงค์ยื่นคำให้การเป็นเอกสารหรือยื่นพยานหลักฐานประกอบการแก้ข้อกล่าวหาให้รวบรวมหลักฐานให้แล้วเสร็จเสนอมายังคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษภายใน 15 วัน นับแต่รับทราบข้อกล่าวหาเพื่อพิจารณาต่อไป



เว้นแต่มีเหตุอันมิอาจก้าวล่วงได้ กรณีที่อ้างพยานบุคคลเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้สอบข้อเท็จจริงและจัดทำบัญชีพยานบุคคลโดยต้องระบุข้อมูลของพยานแต่ละคนเพื่อสำหรับทำบัญชีพยานและประเด็นที่จะใช้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วย ทั้งนี้ จะมีการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อรับทราบการแจ้งข้อกล่าวหาและติดตามผลการดำเนินคดีตามที่มีการมอบหมายงานไว้แล้วต่อไป



ทั้งนี้มีรายงานว่าในส่วนของหัวหน้าทีมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่เข้าไปแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่ 18 บอสดิไอคอน ประกอบด้วย 3 ผู้อำนวยการกองคดีของดีเอสไอ คือ พันตำรวจตรีวรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ , พันตำรวจโทอนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และร้อยตำรวจเอกสุรวุฒิ รังไสย์ ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือกองคดีฮั้วประมูลฯ และในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ



นอกจากนั้นคือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษของแต่ละกองคดี โดย พันตำรวจตรีวรณันและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ จะเข้าไปแจ้งข้อกล่าวหาแก่บรรดาบอสหญิง 7 ราย ณ ทัณฑสถานหญิงกลาง



ขณะที่ในส่วนของ พันตำรวจโทอนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และร้อยตำรวจเอกสุรวุฒิ รังไสย์ ผอ.กองคดีฮั้วประมูล เเละเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ จะเข้าไปแจ้งข้อกล่าวหาแก่บรรดาบอสชายทั้ง 11 ราย ณ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทั้งนี้ในกรณีของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ “บอสพอล” จะเป็นความรับผิดชอบของ พันตำรวจโทอนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค


ขณะที่วันนี้ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล ได้เดินทางมาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในช่วงเเวลา 09.30 น. โดยเปิดเผยว่า เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ DSI ได้ประสานมาว่าจะเข้ามาแจ้งข้อกล่าวหากับ 18 บอสพร้อมกันในวันนี้ ตัวเองก็ตอบรับแบบงงๆ



จากนั้นเราก็ได้ให้ทีมงานช่วยกันจัดเตรียมเอกสาร ซึ่งมีมากพอสมควร เกี่ยวกับการทำธุรกิจทั้งหมด การจัดการจากโรงงานมายังโกดังและจากโกดังไปยังลูกค้า โดยเป็นเอกสารที่พอจะเตรียมได้ทัน ส่วนที่เหลือเป็นระบบของดิไอคอน วันนี้เราก็ได้ให้คนที่เข้าระบบได้อย่าง “เลขาฯ โค้ชแลป”และ “เลขาฯ บอสพอล” แยกเข้าไปในเรือนจำ เพื่อเข้ามาเปิดระบบให้กับทางผู้ต้องหาได้ให้การได้



ส่วนวันนี้จะเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาเลยหรือสอบคำให้การด้วยนั้น นายวิฑูรย์ ระบุว่า เห็นว่าทาง DSI บอกว่าจะเป็นการสอบคำให้การในเบื้องต้น ตัวเองก็เลยเตรียมข้อมูลมาให้แน่น เพราะคำว่าเบื้องต้นของบอสพอล ไม่มีอยู่จริง เขาเองก็อยากจะให้รายละเอียดทั้งหมด เพราะกลัวว่าจะรับเบื้องต้นไปแล้วจะตัดจบคดี และการมาสอบที่เรือนจำไม่ได้ง่ายขนาดนั้น



เมื่อถามว่าเราจะให้การอย่างไรเพื่อจะพิสูจน์กับข้อกล่าวหานี้ได้นั้น นายวิฑูรย์ ตอบว่า แชร์ลูกโซ่องค์ประกอบมันคือว่า “ต้องไม่มีธุรกิจอยู่จริง ต้องมีการเอาเงินของลูกค้า เอาเงินของคนใหม่มาจ่ายคนเก่า และต้องไม่มีสินค้า” ซึ่งเรามั่นใจว่าเราไม่เข้าองค์ประกอบนี้ วันนี้จึงจะให้ปากคำโดยละเอียด โดยเรามีความยินดีที่จะเปิดระบบหลังบ้านและชี้แจงให้ดูว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตัวเองก็จะต้องนั่งฟังและสังเกตการณ์ด้วยยาวๆ เพราะตัวเองเป็นทนายให้กับหลายบอส



ส่วนพยานที่จะเข้ามาให้ปากคำนั้น ตัวเองได้บัตรประชาชนและรายชื่อยืนยันตัวตนส่งมอบให้กับทาง DSI ไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ทาง DSI ขอให้ทำใหม่ ก็เลยต้องทำการบ้านทำบัญชีใหม่ พร้อมเก็บสำเนาบัตรประชาชนของตัวแทนแต่ละคน ทำได้ 2 วัน ได้ไปเบื้องต้น 700 คนแล้ว



ส่วนพยานผู้เชี่ยวชาญนั้น เรื่องนี้นายวิฑูรย์ ขอให้ตัวแทนเข้ามาให้ปากคำให้หมดก่อน เพราะรวบรวมได้จริง มีประมาณ 2,000 - 3,000 คน แต่จะให้การได้จริงหรือไม่ หรืออาจจะมีการตัดพยานไป ตัวเองก็แค่ขอความเป็นธรรม แต่พยานเขาจะไม่พอใจ ไปแจ้ง ม.157 ก็ไม่ทราบได้

คุณอาจสนใจ

Related News