สังคม

‘อัจฉริยะ’ ให้กำลังใจ ‘ทนายตั้ม’ อาจได้เข้าไปอยู่กับบอสพอล – ‘ทนายเดชา’ เผยเจ้าตัวไม่คิดคืนเงิน 71 ล้าน

โดย nattachat_c

31 ต.ค. 2567

67 views

'อัจฉริยะ' แจงแทน 'ทนายตั้ม' ณัฐวุฒิ เอี่ยวคดีพรากผู้เยาว์จริง แต่เรื่องจบแล้ว หลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง ด้าน 'ทนายเดชา' ไลฟ์บอกได้คุยกับ 'ทนายตั้ม' เผย ถามแล้ว เจ้าตัวลั่น ไม่คิดหนี ตั้งป้อมสู้ - ลั่น เท่าที่มอง 'ทนายตั้ม' ไม่มีความคิดคืนเงินเลย บอกเพียงว่า 'ไม่ผิด ให้โดยเสน่หา' ตนเองได้ฝากคำแนะนำ หากมีหมายเรียกให้รีบไปมอบตัว ก่อนอัญเชิญคำพูดชูวิทย์ “สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน รับสารภาพติดพอประมาณ”


กรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ 'ทนายตั้ม' เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ถูก นางจตุพร หรือ 'มาดามอ้อย' เศรษฐีนี ใช้ชีวิตอยู่กับสามีที่ประเทศฝรั่งเศส แจ้งความเอาผิดในฐานฉ้อโกง 71 ล้านบาท เนื่องจากอ้างว่า ถูกหลอกลงทุนแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ ที่ สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมานั้น ซึ่งล่าสุดมีการโอนสำนวนคดีจาก สภ.ปากช่อง มาอยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามแล้ว ส่วนทนายตั้มเองออกมายืนยันว่าได้เงินมาด้วยความเสน่หา


วานนี้ (30 ต.ค. 67) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยกับสื่อมวลชน ถึงกรณีที่ทนายความชื่อดังที่กำลังตกเป็นประเด็นเรื่องเงินหลักสิบล้านกว่าบาทในเวลานี้ว่า เคยมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องคดีพรากผู้เยาว์มา


โดยนายอัจฉริยะกล่าวว่า จากที่เคยมีเพจโซเชียลขุดประเด็นว่า ทนายชื่อดังนั้นเคยมีคดีพรากผู้เยาว์มาก่อน ตนได้รับอนุญาตจากทนายคนดังกล่าวให้มาชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้วว่า คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2543 ตอนนั้นทนายตั้มใช้ชื่อ-นามสกุลว่า 'ณัฐวุฒิ' ซึ่งตอนนั้น ทนายคนดังกล่าวยังใช้ชื่อเก่าอยู่ โดยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีที่เกี่ยวข้องกับลูกตำรวจที่เป็นเยาวชนร่วมกับบุคคลอื่นรวม 4 คน โดย 3 คนถูกออกหมายจับ ส่วนตัวทนายคนดังกล่าวมามอบตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม คดีนี้อัยการสั่งไม่ฟ้อง คดีจึงถึงที่สุดและมีการออกกฎหมายลบล้างมลทิน จนลบประวัติอาจจะทำออกไป ทำให้ทนายคนดังกล่าวะสามารถรับใบอนุญาตทนายความได้เมื่อปี 2547 ยืนยันคดีดังกล่าวก็เป็นเรื่องจริง


ก่อนจะบอกว่า คดีมีการขึ้นศาลจนสิ้นสุดไปแล้ว และมีผู้ต้องหา 4 คน เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับลูกตำรวจที่เป็นเยาวชน มีการออกหมายจับ 4 คน 3 คนแรก ถูกจับขึ้นศาลถูกยกฟ้อง ต่อมา ทนายตั้มไปมอบตัว อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีทั้งสี่คนถึงที่สุดหมดแล้วว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา จากนั้นมี พ.ร.บ. ล้างมลทิน ทำให้ประวัติถูกลบออกไป ส่วนตั้มได้ตั๋วทนายความตอนปี 47 ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมยืนยันประเด็นมีเพียงเท่านั้น


ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประเด็นนี้ เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เคยออกมาแฉเรื่องนี้ โดยบอกเพียงว่า ต้องไปถามกับ เพจ ออยศรีและผองเพื่อน


ก่อนที่นายชูวิทย์จะเดินไปหยิบไอแพดขึ้นมา และ กล่าวว่า ต้องตั้งคำถามว่า “แต่เดิม ใครชื่อว่านายณัฐวุฒิ” พร้อมเปิดภาพให้สื่อมวลชนได้ดู เป็นภาพของชายคนหนึ่ง เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ภาพดังกล่าวคือภาพอะไร นายชูวิทย์ ตอบว่า “ผมไม่อยากยุ่ง เป็นการลากครูเปียโนไปปล้ำ” และไม่ขอตอบคำถามเพิ่มเติม แต่ระบุเพียงว่า ยังมีคลิปเพิ่มเติมอีกด้วย


นอกจากนี้ นายอัจฉริยะ ยังกล่าว ถึงคดีความก่อนหน้านี้ที่ทนายคนนั้นถูกกล่าวหาเรื่องเรียกรับผลประโยชน์ในการช่วยเหลือทางคดีเกี่ยวกับยาเสพติด 2 คดี ก่อนหน้านี้นั้น ซึ่งเป็นคดีที่ตนเคยร้องเรียนเพื่อเอาผิดกับทนายคนนั้น นายอัจฉริยะ ระบุว่า มีอยู่หนึ่งคดีที่จบไปแล้ว เพราะอัยการทุจริตภาค 7 สั่งไม่ฟ้อง


แต่ยังคงเหลือคดีที่ตนเคยร้องเรียนเมื่อปี 2561 ที่ทนายคนดังกล่าวร่วมมือกับตำรวจ สภ. แห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร เรียกรับผลประโยชน์ในคดียาเสพติด ซึ่งคดีนี้ยังค้างอยู่ที่อัยการทุจริตภาค 7 มานานถึง 4 ปี ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมคดีถึงค้างนานและก็อยากให้อยากจะให้อัยการเร่งสรุปคดีโดยเร็วว่า จะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง เพราะไม่งั้นจะถือเป็นการกระทำที่ทุจริต


ซึ่งที่ตนออกมาพูดประเด็นดังกล่าว เป็นเพราะมีสื่อมวลชนมาสอบถามตน โดยตนได้พูดคุยกับทนายคนนี่แล้วว่า ถ้ามีสื่อมวลชนมาถามตนเกี่ยวกับทนายคนนี้ จะอนุญาตหรือไม่ ทนายคนนี้ก็อนุญาตให้ตนพูดได้ เนื่องจากตนก็รู้เกี่ยวกับทนายคนนี้เป็นอย่างดีในหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวข้องกับคดีที่ทนายคนดังกล่าวถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงเงินลูกความ 71 ล้านบาทหรือ 2 ล้านยูโร รวมทั้งประเด็นเรื่องรถและเงิน 39 ล้านบาท ตนก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ตนมองว่า เป็นเรื่องของคดีความ ตนขอไม่พูดถึงประเด็นดังกล่าว เพื่อเป็นการซ้ำเติมเหมือนบุคคลอื่น เพราะถือเป็นการกระทำที่ไม่มีคุณธรรม


ตนไม่ได้ทัก หรือไม่ได้เกลียดกับทนายคนดังกล่าว การที่จับมือกันในวันนั้นก็เป็นเพียงแค่การยุติคดีที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้มีเรื่องฟ้องร้องกันอีก แต่ตนถือโอกาสมา วันนี้เป็นวันที่ตนรอคอย เพราะในช่วง 6 ปี ที่ผ่านมา ตนถูกโจมตีและกล่าวหามาโดยตลอด


ในวันนี้เมื่อถึงคราวของทนายคนนี้บ้าง ตนก็มองว่าใครทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับสภาพกรรมนั้น และความจริงก็คือความจริง เน้นย้ำว่าที่ตนออกมาพูดไม่ใช่เป็นการแฉทนายคนนี้ แต่เป็นการพูดตามที่สื่อมวลชนต้องการอยากรู้ และทนายซึ่งเป็นผู้รู้กฎหมายก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง รวมทั้งต้องยอมรับความเป็นจริง ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก


นายอัจฉริยะ ยังเปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่ทนายคนดังกล่าวพูดในรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับเรื่องเงิน 71 ล้านบาทนั้น เป็นการเตี๊ยมกับพิธีกร ซึ่งตอนที่ตนได้ยินตนก็ได้แค่ยิ้มในใจ โดยหลังจากนี้ตนเชื่อว่า ทนายคนนี้น่าจะโดนออกหมายจับในระยะเวลาอันใกล้ ในคดีเกี่ยวกับฉ้อโกง ซึ่งตนได้พูด ให้กำลังใจทนายคนนั้นเพียงแค่ว่า อาจจะได้เข้าไปอยู่กับบอสพอลในเรือนจำ


ส่วนที่เหลือทนายคนนั้นจะจัดการยังไงต่อโดยเฉพาะเรื่องทางกฎหมาย ตนก็เชื่อว่าเขาน่าจะรู้ตัวเอง แต่ส่วนตัวตนก็ขอตั้งประเด็นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ที่ผ่านมาทนายคนนั้นต่อสู้รบกับนักการเมืองหลาย ๆ คน รวมทั้งอดีตนายตำรวจระดับสูงไปเพื่ออะไร เพราะตนก็ทราบดีว่า ทนายคนนั้นรับงานใครมาเพื่อโจมตีบรรดานักการเมือง และอดีตนายตำรวจ จึงอยากจะฝากเตือนว่า หากคิดจะเล่นงานใครต้องขาวบริสุทธิ์จริงๆ  มิเช่นนั้น ดาบนั้นจะคืนสนอง


วันที่ 29 ต.ค.67 นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา ไลฟ์ผ่านเพจทนายคลายทุกข์ โดยวิเคราะห์คดีดัง คดีที่น่าสนใจ รวมถึงกรณีของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายทนายตั้ม ที่ถูกมาดามอ้อยฟ้องฉ้อโกง 71 ล้านบาท


โดยทนายเดชา กล่าวว่า ฟังข่าวแล้วตกที่ใจที่ตำรวจจะแจ้งข้อหา ก่อนจะเล่าว่า ได้คุยกับทนายตั้ม ก็ถามว่าเขาบอกว่าฉ้อโกงเป็นสันดานเลยหรือเปล่า ทนายตั้มก็บอกว่าเปล่า ๆ ผมก็ไม่ได้เชื่ออะไรทนายตั้มนะ เป็นหน้าที่เขาที่จะชี้แจง ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า ถ้าเอ็งฉ้อโกงเป็นสันดาน เอ็งก็ไม่ต้องเป็นทนายแล้ว เอาใบอนุญาตไปคืนสภาทนายดีกว่า ก่อนจะสอดแทรกความรู้ทางกฎหมายว่า ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ หากแจ้งความคดีนี้เพราะถ้าโดนข้อหานี้ ก็จะเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงินเพิ่ม นำไปสู่การยึดบ้าน ยึดรถ


ทนายเดชา กล่าวต่อว่า จากนั้นก็ถามอีกว่า ตั้ม เอ็ง ไปโกงเขาทั่วเลยมั้ย ทนายตั้มก็ตอบว่า “เปล่าครับอาจารย์” จากนั้น ตนก็ได้บอกทนายตั้มไปว่า ถ้ามีหมายเรียกให้ไปมอบตัวเลยนะ  ทนายตั้มก็ตอบว่า “ครับๆๆๆๆ”


จากนั้น ถามต่ออีกว่า จะหนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติหรือไม่ ทนายตั้มก็ยืนยันว่าไม่หนี ตนมีบ้าน มีทรัพย์สินอยู่ในประเทศ และย้ำว่าไม่ได้ทำผิด ทนายเดชา ยังบอกว่า ถ้าเขายังไม่มอบตัว ถ้ามีหมายเรียกจะเอารถไปรับทนายตั้มส่งตำรวจ


ทนายเดชา ยังเล่าต่อว่า ได้บอกกับทนายตั้มอีกว่า “ตั้ม ถ้าเอ็งโกงเขา เงินทองก็คืนเขาไป” ก่อนจะแซวๆว่า เอาเขามาตั้ง 71 ล้าน ทำไมไม่แบ่งพี่เดบ้างละ รวยอยู่คนเดียวเลย แบ่งมาให้พี่เดบ้าง พี่เดจะได้เอาไปซื้อไวน์กินสักหน่อย กินไวน์ขวดละแสน จุ๊กกรู


ก่อนจะเล่าต่อว่า เนี่ย ถ้าเอามา 71 ล้าน ก็คืนเขาไป สงสารเขา เอามาตั้งเยอะตั้งแยะ  ทนายตั้ม บอกว่า ให้โดยเสน่หาครับๆ  ผมก็เลยบอกไปว่า เออ ก็แล้วแต่เอ็งเถอะ ก็ว่ากันไป ก่อนจะบอกต่อว่า ถ้าทำผิดก็รับสารภาพ


ทนายเดชา กล่าวต่อว่า เท่าที่ตนทราบ ในส่วนของทนายตั้ม เขาตั้งป้อมสู้ ตั้งทีมทนายสู้แล้ว เท่าที่พูดกัน เขา ไม่ได้มีความคิดจะคืนเงินเขาเลย คือมีความคิดจะสู้คดีอย่างเดียว “เขาบอกว่า อาจารย์ ผมไม่ได้ทำผิดครับ ผมสู้ครับ”


ก่อนจะได้แนะนำไปว่า ตั้ม สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน รับสารภาพพอประมาณนะน้อง เขาก็บอกอีกว่า อาจารย์ครับ ผมไม่ได้ทำผิดครับ เขาให้ผมเองครับ ตนก็เลยบอกไปแค่ว่า “จุ๊กกรู จุ๊กกรู” เพราะทนายตั้มเอง เขาไม่ได้มีความคิดจะคืนเลยนะ ตั้งป้อมสู้แน่นอน ก่อนจะย้ำว่าได้บอกไปว่าให้นึกถึงคำคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ นะว่า “สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน รับสารภาพติดพอประมาณ”


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/TsOQ43P3DzM





คุณอาจสนใจ

Related News