สังคม

ผู้เสียหายตัวจริง แฉ เจ้าเมือง "ลัทธิสีรุ้ง" หลอกลวงลงทุนหุ้นดิจิทัล สูญเงินหลายแสน

โดย kanyapak_w

26 ต.ค. 2567

212 views

ผู้เสียหายตัวจริง แฉ เจ้าเมือง "ลัทธิสีรุ้ง" หลอกลวงลงทุนหุ้นดิจิทัล สูญเงินหลายแสน



ผู้เสียหายตัวจริง แจ้งความ พ่อเมือง อมตะมหานคร แห่งลัทธิสีรุ้ง ยืนยัน มีการชักชวนให้ลงทุนหุ้นดิจิทัลจริง จนต้องไปกู้เงินจากญาติ และขายที่ดินมาร่วมลงทุน สูญเงินเป็นหนี้เกือบล้าน พยายามทวงถามแต่ยังไม่ได้เงินคืน พร้อมเปิดคลิปเสียง แฉ เจ้าเมืองโว เป็นงานใหญ่ระดับโลก และมีการทำมานานกว่า 20 ปี กลุ่มเล็กๆ ยังมีเงิน 40-50 ล้าน



จากกรณีที่ มีกลุ่มที่ตั้งตนเป็นลัทธิประหลาด ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ลัทธิสีรุ้ง ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านกอกหวาน ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ใช้วิธีการล่อลวงให้ผู้คนหลงเชื่อ และนำเงินไปลงทุนด้วยความเต็มใจ นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรม คำพูด และบทสวดที่ดูประหลาด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ ได้ลงพื้นที่ ตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการในเรื่องใดได้ เนื่องจากยังไม่มีผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง มาร้องเรียน ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น



ความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 26 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สถานีตำรวจภูธรปรางค์กู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ นางศรีสวัสดิ์ อายุ 69 ปี ชาวตำบลโพธิ์ศรี อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ผู้เสียหาย ได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานครตั้งแต่ช่วงเช้ามืดของวันนี้ (วันที่ 26 ตุลาคม 2567 เวลา 05.00 น.) เพื่อแจ้งความลงบันทึกประจำวันกับ ร.ต.อ. สหภพ เขาวันกลาง พนักงานสอบสวน สภ.ปรางค์กู่



หลังทราบว่า ได้มีครอบครัวของสมาชิกในลัทธิ ซึ่งตกเป็นผู้เสียหาย เข้าร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ว่าญาติของเขาถูกชักจูงให้ล่อลวงให้ไปยืมเงินและขายที่ดิน เพื่อนำไปให้เจ้าเมืองแห่งอมตะมหานคร โดยมี นางสาวพรพิมล ไชยชาญ ลูกสาวของนางศรีสวัสดิ์ ผู้เสียหาย เดินทางมาร่วมแจ้งความด้วย



นางศรีสวัสดิ์ ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา ตนได้ทำบุญตั้งแต่ลัทธิ สีรุ้งแห่งนี้ ตั้งแต่ยังเป็นที่พักสงฆ์เนื้อนาบุญ จนกระทั่งเมื่อปีประมาณ 2564 สถานที่แห่งนี้ถูกกวาดล้างและจับกุม และต่อมามีการตั้งกลุ่มลัทธิใหม่อีกครั้ง ตนก็ยังเข้าไปเนื่องจากเป็นญาติกับนายกะรันยา หรืออดีตพระกะรันยา ซึ่งปัจจุบัน ตั้งตนเป็นผู้นำหรือเจ้าเมืองอมตะมหานคร และอีกอย่างตนเป็นคนที่ชอบทำบุญด้วย จึงเดินทางเข้าไปในลัทธิอยู่เป็นประจำ แต่เป็นลักษณะไปกลับ ไม่ใช่การอยู่อาศัยข้างในสถานที่แห่งนั้น



ต่อมาเมื่อปี 2566 นายกะรันยา ได้ชักชวนตนให้ลงทุนหุ้นดิจิทัล โดยพูดจาโน้มน้าวใจตนอยู่ทุกวัน ขณะที่เข้าไปในลัทธิ จนสุดท้ายตนหลงเชื่อ แต่ตอนนั้นตนไม่มีเงิน จึงได้ไปยืมเงินญาติมาจำนวน 50,000 บาท เพื่อไปให้นายกะรันยา ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าจะเอาเงินไปใช้ในจุดใด เห็นแต่ว่าจะเอาเงินไปใช้ภายในลัทธิแห่งนี้



นายศรีสวัสดิ์ กล่าวต่อไปว่า ต่อมา ตนได้แอบเอาโฉนดที่ดินของตน ไปฝากขายและได้เงินมาจำนวน 460,000 บาท และได้นำเงินจำนวน 400,000 บาท นำเข้าบัญชีผ่านตู้ฝากเงินอัติโนมัติ ให้กับบัญชีของนายกะรันยา เพื่อนำไปลงทุน ซึ่งหลังจากนั้น ไม่นาน ลูกสาวของตนทราบเรื่อง จึงได้หากู้หนี้ยืมสินไปไถ่ถอนที่ดินของตนคืน ในราคา 560,000 บาท ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มเป็นจำนวนเงินถึง 100,000 บาท ตั้งแต่เกิดเรื่องมาตนพยายามโทรศัพท์ หานายกะรันยา อยู่หลายครั้ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ และเลื่อนการจ่ายเงินให้ตนมาตลอด และตนยืนยันว่า นายกะรันยา เป็นคนชักชวนตนให้นำเงินไปร่วมลงทุนจริง ด้วยตนเอง โดยตนหวังว่าจะได้เงินจำนวนนี้คืน จากนายกะรันยา เพราะต้องนำเงินไปใช้หนี้ที่ยืมมา



ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า ได้รับคลิปบันทึกเสียงการสนทนา ระหว่างนายกะรันยา และผู้เสียหาย ความยาว 26.43 นาที ซึ่งลูกสาวของผู้เสียหายได้โทรไปสอบถามทวงเงินของแม่คืน และแต่กลับถูกชักชวนให้ไปร่วมทำงานและลงทุน โดยหากลงทุน 10,000 บาท จะได้ค่าตอบแทน 100,000 บาท ถ้าลงทุน 100,000 บาท จะได้ค่าตอบแทน 1,000,000 บาท ซึ่งได้บอกว่างานใหญ่ เป็นงานระดับโลก ไม่ใช่การซื้อขายหุ้น ไม่ใช่คริปโต หรือบิทคอยน์ เป็นการลงทุนกับแบงก์โลก กองทุนโลก หากสนใจจะลงทุนต้องมาหาเจ้าเมืองเพื่อให้เจ้าเมืองดำเนินการให้อย่างเดียว และบ่ายเบี่ยงว่าการดำเนินการของตนนั้นอธิบายยาก



พร้อมทั้งยืนยันว่าทำแล้วได้เงินจริง เพราะเป็นเรื่องของแผ่นดินโดยมีการเอาประเทศไทยเป็นประกัน ซึ่งเป็นการดำเนินการผ่านระบบรัฐบาล ระบบกษัตริย์ ซึ่งมีการทำมา 20 กว่าปีแล้ว มีการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกวัน มีการบอกค่าใช้จ่ายของแต่ละวัน แล้วแต่หลักทรัพย์ของผู้ลงทุน ซึ่งของทางเจ้าเมืองเป็นหน่วยงานรากหญ้าเล็กๆ ยังมีหลักทรัพย์อยู่ที่ 40 กว่าล้าน เกือบ 50 ล้านแล้ว พร้อมทั้งได้ชักชวนให้ลูกสาวผู้เสียหายมาร่วมลงทุนและมาทำงานกับเจ้าเมืองโดยยืนยันว่าจะได้รับค่าตอบแทนแน่นอน




เบื้องต้น พนักงานสอบสวน สภ.ปรางค์กู่ จะได้เรียบเรียงข้อมูลรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและตรวจสอบข้อเท็จจริง ขณะที่ นายอำเภอปรางค์กู่ จะมีการเรียกประชุมในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ และรวบรวมข้อมูล เพื่อหามูลเหตุในเรื่องนี้ ต่อไป



คุณอาจสนใจ

Related News