สังคม

‘ดีเอสไอ’ รับคดีฟอกเงิน ‘ดิไอคอน’ เป็นคดีพิเศษ – 'ไผ่ ลิกค์' จ่อเรียกดีเอสไอ แจงปมค้นห้องเช่า 'บอสพอล'

โดย petchpawee_k

25 ต.ค. 2567

16 views

DSI แถลงรับคดีฟอกเงิน กรณีดิไอคอนกรุ๊ป เป็นคดีพิเศษ เพราะความเสียหายมีมูลค่าเกิน 300 ล้านบาท เคลียร์ข้อครหาทำงานทับซ้อนสำนักงานตำรวจฯ ชี้ 18 ผู้ต้องหาที่ถูกขังในเรือนจำอาจเข้าข่ายฟอกเงินทั้งหมด เผย นาฬิกาที่ตรวจยึดจริงหรือปลอมต้องอายัดไว้ก่อน หากเป็นของจริงให้ ปปง. ประเมินราคาขายทอดตลาดนำเงินมาชดเชยผู้เสียหาย

วานนี้ (24 ต.ค.) เวลา 14.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ ร้อยตำรวจเอก วิษณุ  ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมายและโฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และนายอัษฎาวุธ ศรีปิตา ผู้ช่วยโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ร่วมกันแถลงข่าวการรับคดีฟอกเงิน กรณี ดิไอคอนกรุ๊ป เป็นคดีพิเศษ

พันตำรวจตรี ยุทธนา เผยว่า สืบเนื่องจากทาง DSI ได้มีคำสั่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนที่ 1295/2567 เพื่อสืบสวนหาข้อเท็จจริงรายละเอียดว่า จากกรณีบริษัท The Icon Group เข้าลักษณะคดีพิเศษตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งจากการสืบสวนและแสวงหาข้อเท็จจริง พบสาระสำคัญอยู่ 2 ประการคือ ประการที่หนึ่ง จากการที่พนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินคดี 18 ผู้ต้องหาในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน จึงเข้าลักษณะอันเป็นข้อหามูลฐานที่นำมาสู่ความผิดฐานฟอกเงินได้ ซึ่งคดีฟอกเงินนั้นอยู่ท้ายบัญชีที่สามารถรับเป็นคดีพิเศษได้ /และประการที่สอง พบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดและความเสียหายมีมูลค่าเกิน 300 ล้านบาทขึ้นไป ทั้ง 2 ประการจึงเข้าลักษณะหลักเกณฑ์ที่ DSI จะพิจารณารับคดีพิเศษได้


ดังนั้น DSI จึงพิจารณาเห็นชอบที่จะรับคดีข้อหาฟอกเงินของบริษัท The Icon Group เป็นคดีพิเศษ เลขคดีที่ 115/2567 โดยให้ ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ อย่างไรก็ตามทาง DSI รับเฉพาะคดีฟอกเงินเท่านั้น ส่วนข้อหาอื่น ๆ โดยเฉพาะข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ยังอยู่ในอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากถือว่าการกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและความผิดฐานฟอกเงินนั้น เป็นกรณีต่างกรรมต่างวาระ จึงเป็นถือเป็นคนละสำนวนคดี โดย DSI จะดำเนินคดีกับผู้โอน /รับโอน /ได้มา ครอบครอง หรือใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือรู้ว่ามาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งถือเป็นพฤติการณ์สำคัญของข้อหาฟอกเงิน

พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะต้องมีการสืบสวนสอบสวนต่อไปถึงเส้นทางการเงิน รวมทั้งที่มาของทรัพย์สินต่างๆ ที่ทั้ง DSI และตำรวจตรวจยึดมาได้ เพราะเชื่อว่ากลุ่มผู้กระทำความผิด ได้นำทรัพย์สินที่ได้จากการหลอกลวงผู้เสียหายไปซื้อทรัพย์สิน ของตัวเอง ถือเป็นการแปลงสภาพทรัพย์สิน หากรวบรวมพยานหลักฐานได้อย่างชัดเจนและแน่นหนาเพียงพอ ก็จะนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาผู้กระทำความผิดคดีฟอกเงินต่อไป ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าผู้ต้องหา 18 รายในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ที่ตอนนี้ยังถูกฝากขังในเรือนจำ อาจเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินทั้งหมด และอาจจะมีผู้ต้องหาแถวที่ 2 หรือแถวที่ 3 ซึ่งจะต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียดต่อไป แต่คาดว่าน่าจะมีรายการทรัพย์สินหมุนเวียนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 100-1,000 ล้านบาท

ดังนั้น ในวันนี้จึงเป็นการเคลียร์ข้อครหาได้อย่างชัดเจนที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษทำงานทับซ้อนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่ ซึ่งวันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนเพื่อนำมาสู่คดีฟอกเงินและทั้ง 2 หน่วยงาน ต่างก็ร่วมมือการทำงานและประสานข้อมูลกันมาโดยตลอดในลักษณะของการ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อมุ่งหวังที่จะร่วมกันให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหายโดยเร็วที่สุด

ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชี้แจงถึงเหตุผลที่นำมาสู่การขออำนาจศาลอาญาออกหมายค้นตรวจสอบห้องพักในซอยรามอินทรา 9 ที่นำมาสู่การตรวจยึดทรัพย์สินหลายรายการ รวมถึงนาฬิกาที่กำลังตกเป็นประเด็นว่าเป็นของแท้หรือของปลอมว่า เนื่องจากเบาะแสของแม่บ้านพลเมืองดีที่ระบุว่า เมื่อวันที่ 28 กันยายน แม่บ้านจำได้ว่า เห็นบอสอ๊อฟ หนึ่งใน 18 ผู้ต้องหา มาเซ็นสัญญาห้องเช่าพร้อมจ่ายเงินค่าห้องและค่ามัดจำรวม 6,200 บาท โดยก่อนหน้านี้ เห็นรถซุปเปอร์คาร์ สีเหลือง เลขทะเบียน 8895 มาที่อพาร์ทเม้นท์และเห็นว่า คนที่ลงจากรถจำได้ว่าน่าจะเป็นบอสพอลเมื่อปรากฏในข่าว แล้วเริ่มปรากฏนำทรัพย์สินสิ่งของต่าง ๆ เข้ามาที่ห้องตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นมา ซึ่งถือเป็นพิรุธที่ทำสัญญาเช่า แต่ไม่เข้ามาพักอาศัย เพียงแต่นำของมาเก็บเอาไว้ที่ห้องแห่งนี้

จึงเชื่อได้ว่าทรัพย์สินเหล่านั้นน่าจะมาจากการกระทำความผิด เลยนำมาสู่การขอหมายค้นดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินแท้หรือปลอม ก็จะต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการประสานกับเจ้าของแบรนด์นาฬิกาที่ตรวจยึดได้ให้มาตรวจสอบทรัพย์สินว่าเป็นของแท้หรือของปลอม โดยจะต้องให้เวลาในการตรวจสอบสักระยะหนึ่งก่อน เพราะบางแบรนด์ก็เป็นของต่างประเทศ อีกทั้งไม่ใช่เพียงแค่การตรวจสอบนาฬิกาเพียงอย่างเดียว แต่ทรัพย์สินอื่น ๆ เช่น วัตถุคล้ายทอง กระเป๋า ก็ต้องมีการตรวจสอบด้วย โดยยืนยันว่า การเข้าตรวจยึดและตรวจค้นทรัพย์สินของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น ดำเนินการด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้

ด้านนายวิทยา นีติธรรม โฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือ DSI ที่ดำเนินการตรวจยึดทรัพย์สินไว้เป็นของกลาง ก็จะต้องส่งมาที่ ปปง. ในฐานะหน่วยงานจัดการด้านทรัพย์สินในคดีอาญา เพื่อตรวจยึดเป็นของแผ่นดินและนำไปสู่การขายทอดตลาดนำเงินมาชดเชยคืนแก่ผู้เสียหาย ขอให้มองว่าการทำงานของ 2 หน่วยงานนั้นเป็นลักษณะของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อไม่ทำให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งทำงานหนักจนเกินไปและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนกับผู้เสียหายมากที่สุด

--------------------------------

'ไผ่ ลิกค์' เตรียมเรียก 'ดีเอสไอ' แจงเหตุบุกค้นห้องเช่า 'บอสพอล' มั่นใจจัดฉาก ของปลอม 100% ถามมีความพยายามโยกคดีหรือไม่ งง ตำรวจก็ทำดีอยู่แล้ว ลั่น ได้ยินมีคนอยู่ในนั้น หวั่นย้ายไปแล้วช้ากว่าเดิม ขอไม่วิจารณ์ พปชร. ประชุมเรื่องนักการเมือง ส. ล่าช้า

วานนี้ (24 ต.ค.) ที่รัฐสภา นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงการบุกค้นนาฬิกาหรูของบอสพอล โดยแสดงความมั่นใจว่าการที่ดีเอสไอค้นเจอนาฬิกาหรู ของบอสพอลในห้องเช่าว่าเป็นการจัดฉากแบบ 100 % แต่สิ่งที่ตนสงสัยมากกว่านั้น ว่าทำไมเขาเลือกที่จะแจ้งดีเอสไอ เพราะต้องการให้ดีเอสไอเป็นคนทำคดีหรือไม่ พอแบบนี้เราคิดว่ามันเกิดความเคลือบแคลงสงสัย และคนที่เผยแพร่ภาพออกมาน่าจะเป็นดีเอสไอด้วย และได้ตรวจเช็กหรือไม่ว่านาฬิกาเป็นของปลอม มันจะมีปัญหาตอนการประมูลของกลางอีก เพราะเคยมีประเด็นนี้เกิดขึ้นและมีปัญหา

นายไผ่ยังเปิดเผยด้วยว่า การเคลือบแคลงสงสัยทั้งหมด ตนได้คุยกับนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ด้วย ตอนนี้ กมธ.คุ้มครองผู้บริโภคดูเรื่องนี้อยู่ โดยวันพฤหัสบดีที่ 31 ต.ค. จะเรียกดีเอสไอมาชี้แจง เรื่องที่เข้าไปค้นในห้องเช่าดังกล่าว เพราะมันทำให้เกิดความไม่สบายใจ และตนได้ประสานทีมงานนายกรัฐมนตรี เพราะมันมีความไม่สบายใจของภาคประชาชน เนื่องจากเหมือนหน่วยงานแย่งกันทำคดีหรือไม่ ทั้งที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทำคดีนี้ค่อนข้างละเอียด และจำนวนผู้เสียหาย 7,000 กว่าคน มันค่อนข้างสูง แล้วดีเอสไอจะทำไหวหรือ กลัวว่ารับไปทำแล้วจะช้ากว่าเดิม

ล่าสุด ตนได้ประสานไปทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เขาก็ทำงานคืบหน้าค่อนข้างเร็ว ประชาชนเห็นความชัดเจนมากขึ้น ผู้ต้องหา บอสพอล ทำได้ขนาดนี้ เขาคิดอะไรมา แล้วเขาจะโยกเพื่ออะไร

เมื่อถามว่าจุดประสงค์ของบอสพอล ต้องการให้ดีเอสไอทำคดีใช่หรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า ตนไม่รู้ แต่ตนสงสัย ว่าทำไมเขาต้องจัดฉากแบบนี้ และต้องแจ้งไปทางนั้น เพื่อจะดึงคดีไปทางนั้นหรือไม่ แล้วถ้าย้อนกลับไปคลิปที่ออกมามันมีบางส่วนที่บอกว่ามีคนอยู่ในนั้น เราก็ต้องถามกลับว่าสรุปมีหรือไม่มี ต้องเกาะติดเรื่องนี้ เพราะตนกลัวหลุด

เมื่อถามย้ำว่าดีเอสไอมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับบอสพอลด้วยใช่หรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า เดี๋ยวเราจะใช้ กมธ. คุ้มครองผู้บริโภคทำให้เรื่องนี้กระจ่าง และตนขอให้การบ้านดีเอสไอไปเลยว่าต้องมาตอบในเรื่องนี้

ส่วนการจัดฉากแบบนี้ บอสพอลไม่ใช่คนธรรมดาใช่หรือไม่ นายไผ่ กล่าวทันทีว่า “มันเป็นการจัดฉากที่จะอยู่แล้ว วันนี้มันต้องจัดฉากอยู่แล้ว ไปเช่าบ้านหลังหนึ่ง แล้วคุณเอารถพอร์ชไปเช่า ให้บอสพอลมาเอง โอ้โฮ มันการ์ตูนนะ แล้วคนที่คิดขนาดนี้ได้มันยิ่งหนักกว่าเดิม จะฟ้องผมบอกว่าผมบอกว่าจัดฉากก็ได้ แต่ผมว่าจัดฉาก ไปฟ้องเลย และเรื่องพระทองคำ ให้ไปตรวจเช็กให้ดี วันนี้ต้องติดตาม เป็นเรา เราเอ๊ะไหมล่ะ”

นายไผ่ ย้ำว่า คุณไปแจ้งความกับตำรวจว่ายึดโทรศัพท์ แสดงว่าคุณต้องมีปัญหาแล้ว คุณต้องการจะเบี่ยงประเด็นหรือไมj  เมื่อถามว่าคีย์แมนคนสำคัญที่เดินเกมอยู่ข้างนอก ต้องเป็นระดับไหน นายไผ่ กล่าวว่า ตนไม่รู้แต่จะไปพูดไม่ได้ว่าเขาวางแผนไว้ก่อน แต่อย่าลืมว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเข้าไป


เมื่อถามว่าเขาต้องรู้มาก่อนใช่หรือไม่ว่าจะถูกจับ นายไผ่ กล่าวว่า เขาต้องรู้สิ เพราะไปเปิดห้อง 3,000-6,000 แล้วเอาของไปวาง ถ้าเป็นของจริงมูลค่ามันหลาย 10 ล้าน


เมื่อถามว่าประสานนายกรัฐมนตรีไปแล้ว นายกรัฐมนตรีว่าอย่างไรบ้าง นายไผ่ ระบุว่า เป็นการประสานทีมงานเพื่อให้ดูเรื่องนี้หน่อย เพราะไม่ต้องการให้เรื่องนี้เข้าหาผู้ต้องหา

เมื่อถามว่าจัดฉากแบบนี้สุดท้ายจะรอดใช่หรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า คนสู้คดีถ้าเขาไม่คิดว่าเขาจะรอด เขาจะสู้ทำไม และจะพูดว่าเขาไม่รอด 100% เป็นไปไม่ได้

เมื่อถามถึงกรณีคลิปเสียงของนักการเมือง ส. เจ้าของเสียงจะไปแจ้งความเอาผิดคนดักฟังวันนี้ นายไผ่ กล่าวว่า รอดูอยู่ ก่อนจะย้ำว่า เรื่องนี้แบ่งเป็น 2 แท่ง แท่งแรกเป็นเรื่องผู้เสียหาย และแท่ง 2 คือเรื่องการรับส่วย ตนยืนยันว่าจะตามทั้งคู่ เพราะเกี่ยวพันกัน

เมื่อถามว่าเรื่องส่วยมีความคืบหน้าหรือไม่ เพราะเริ่มมีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง นายไผ่ กล่าวว่า ตนได้พูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วว่าถึงไหนเอาให้ถึงนั้น แต่ถ้าไม่ถึงก็ต้องบอก เพราะจะไปให้ความผิดเขาไม่ได้ เพราะดูจากสื่อ คนที่ออกมาเปิดเรื่องราวตอนนี้ก็หิวแสงเยอะ เวลาพูดก็เวอร์ และจำเป็นต้องให้ความเป็นธรรมกับนักการเมือง ไม่เช่นนั้นสถาบันการเมืองจะเสียหาย

เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐนัดคุยเรื่องนักการเมือง ส. วันที่ 29 ต.ค. ช้าเกินไปหรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า ตนไม่ขอพูดถึง  นายไผ่ ยังกล่าวถึงบอสพอลว่า ตนบอกแล้วว่าแผนการเขาเยอะ และเมื่อดูในคลิปแต่ละคลิปที่ออกมา ตนต้องถามว่าคนธรรมดาที่ไหนใส่หูฟังอัด 7 ชั่วโมง วันนี้นักการเมืองที่สภาเขาบอกว่า ถ้าจะคุยกันคงต้องคุยกันในสระว่ายน้ำ ไปแช่น้ำคุยกัน ดังนั้นตนมองว่ามันเตรียมการมา วันนี้พี่หนุ่ม กรรชัยก็น่าพูดไปเยอะแล้ว


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/yDmFwBrZC6w

คุณอาจสนใจ

Related News