เปิดผังเครือข่าย ‘ดิไอคอน’ - ‘บอสพอล’ ปาดน้ำตาขอโทษผู้เสียหาย ยันจ่ายเงินคืน รับธุรกิจไม่เหมาะกับทุกคน

‘บอสพอล’ ร้องไห้สะอื้นเผชิญหน้าผู้เสียหายในรายการโหนกระแส ชี้แจงปมดิไอคอน บอก “ไม่อยากมา กลัว แต่ต้องมาตอนที่ยังมีชีวิต” แจงเครือข่ายบอส 10 กลุ่ม 12 คน ไม่รู้ แต่ละคนมีวิธีการขายแบบใด  จบรายการ ปาดน้ำตาจับมือขอโทษผู้เสียหาย  บอก “ธุรกิจไม่เหมาะกับทุกคน” พร้อมโอนเงินคืน 170,000 บาท โอดจุดอ่อนของธุรกิจเป็นเรื่องของคนล้วนๆ ไม่มีความพร้อมที่จะทำ ทำไมไม่ลงทุนแค่ 2,500 พอมีปัญหาก็มาต่อว่าหลอกลวง 

วานนี้ (14 ต.ค.) รายการโหนกระแส ได้เชิญ บอสพอล วรัตน์พล  วรัทย์วรกุล  บอสใหญ่ของ “ดิ ไอคอน กรุ๊ป”   มานั่งในรายการเผชิญหน้ากับผู้เสียหายหลายคน ซึ่งเปิดรายการมาบอสพอลก็ร้องไห้ทันที จน หนุ่ม กรรชัย ต้องบอกให้ตั้งสติ และถามว่า “ทำไมถึงกล้ามาออก” บอสพอลบอกว่า “อยากมาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ยอมรับเลยว่ากลัวมาก ไม่กล้ามาแต่ต้องมา”

บางช่วงบางตอน บอสพอล ได้อธิบายว่า ในนามบริษัทที่ตนเองถูกเรียกว่า “บิ๊กบอส” รองลงมาจะมีระดับ “บอส” ประมาณ 10 คน เป็นตัวแทนดูแลจัดการในแต่ละทีม โดยได้ค่าตอบแทนจากยอดขาย ลำดับถัดมาจะเป็นตัวแทนจำหน่าย หรือที่เรียกกันว่า “แม่ข่าย” โดยมีสินค้าตัวแรกคือคอลลาเจน ต่อมาคือกาแฟ และพัฒนามาเรื่อยๆ จนตอนนี้มีสินค้า 14 ตัว มีสมาชิกประมาณ 3-4 แสนคน

บอสแต่ละคนทั้ง 10 คน มีรายได้จากยอดขาย นั่นหมายความว่า คนที่ทำได้มาก ขายได้มาก เก่งมาก ก็ได้มากกว่า แปลว่าบอส 10 คน เขาไม่ได้ได้เงินเท่ากัน บางคนเก่งน้อยกว่าก็ได้เงินน้อยกว่า คนที่เขาร่ำรวยขึ้นมา ใช้นาฬิกา ใช้รถหรู เขาก็พยายามสู้มา ทำมา ไม่ได้สำเร็จในวันสองวัน เขาก็มามาหลายปี จนสำเร็จ เขาก็มีสิทธิ์ที่จะร่ำรวยจากความสำเร็จนี้

ซึ่งในรายการ มีการคอนเฟิร์มรายชื่อ บอส 10 กลุ่ม (12 คน) ประกอบด้วย บอสปัน  บอสสวย  บอสวิน  บอสหมอเอก บอสโซดา+บอสป๊อป  บอสทอมมี่  บอสต่าย  บอสอ๊อฟ+บอสจอย  บอสแม่หญิง  และ บอสโอม และลำดับถัดลงมา จะเป็นตัวแทนจำหน่าย หรือที่เรียกกันว่า แม่ข่าย

ส่วนเรื่องการยิงแอด การสอนการโค้ชชิ่งต่างๆ เป็นเรื่องที่ตัวแทนแต่ละคนเขาจะไปออกแบบการสอน ยิงแอดโปรโมตการสอนการตลาดออนไลน์ ตนก็แอบไปตรวจสอบ ว่าคอร์สแต่ละคอร์สของบอสแต่ละคน ว่าเขาสอนอะไร เขาก็สอนเทกนิกการทำการตลาดออนไลน์สำหรับคนทั่วไปจริง ๆ โดยที่ช่วงท้าย ๆ ของการสอน เขาจะเอาสินค้าของ ดิ ไอคอน ไปไทอินนิดหน่อย แล้วพอสอนจบ เขาก็ปิดการสอน แล้วค่อยพูดคุยต่อ ว่าใครไม่มีสินค้า ก็ลองมาขาย มาเป็นตัวแทนกับเราไหม มันก็เป็นวิธีการของบอสแต่ละคนเขาทำกัน

หลังจบรายการโหนกระแส บอสพอลได้เดินไปคุยกับผู้เสียหายรายหนึ่ง ซึ่งนั่งรถเข็นวีลแชร์มาออกรายการ และนั่งดูการให้สัมภาษณ์ของบอสพอลในสตูดิโอด้วย ซึ่งบอสพอล ได้โอนเงินให้กับผู้เสียหายหญิงรายนี้แล้ว 170,000 บาท โดยเจ้าตัวเดินไปจับมือผู้เสียหาย พร้อมสอบถามถึงการเข้าร่วมลงทุนธุรกิจดิไอคอน โดยผู้เสียหายรายนี้บอกว่าอยากทำธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ แต่พอเข้าไปทำแล้วไม่เป็นไปอย่างที่คิด ตนเองมาเรียกร้องเพราะอยากได้เงินคืนเท่านั้น

ขณะที่บอสพอล บอกว่าทำไมไม่ติดต่อมาที่ตนเอง แต่ผู้เสียหายตอบว่าเข้าถึงบอสพอลไม่ได้เลย จากนั้นผู้เสียหายรายนี้ได้เล่าถึงการทำธุรกิจเพิ่มเติม และบอกว่าตนเองเห็นบอสพอลครั้งแรกรู้สึกว่าเป็นคนมีเมตตา ซึ่งบอสพอลได้นั่งฟังนิ่งๆ และน้ำตาซึม และบอกว่าตนเองไม่เคยรู้เลย จากนั้นผู้เสียหายบอกว่าสิ่งที่ตนเองรับไม่ได้ คือแม่ทีมของตนที่ไปหลอกคนอื่นมาทำธุรกิจนี้ด้วย

ผู้เสียหายยังบอกกับบอสพอลอีกว่า ตนเองทำธุรกิจนี้เพียง 2 เดือน สินค้า (กาแฟ) นำไปกินไปใช้หรือนำไปขายไม่ได้เลย ตนเคยไปร้องเรียนบริษัทแต่ก็เงียบหาย ขณะที่บอสพอลนั่งฟังแล้วร้องไห้ปาดน้ำตา ผู้เสียหาย บอกกับบอสพอลว่าขอความเป็นธรรมด้วย ตนเองจนมาก เงินที่นำไปลงทุนก็ยืมมาต้องติดหนี้สิน ด้วยเงินที่บอสพอลจ่ายคืนมาให้ 170,000 บาท ตนก็โอนไปใช้หนี้ทันที

จากนั้นบอสพอล บอกกับผู้เสียหายว่า “ต้องดูบริบทเราด้วยว่าจะทำได้หรือไม่ คนที่ชวนเราดูแลรับผิดชอบเราจริงหรือเปล่า ทุกๆ ธุรกิจไม่เหมาะกับทุกคน ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับบุคคลที่ทำแบบนี้” ผู้เสียหายบฝากไปยังบอสพอล ให้นำรูปตนเองออกจากการโปรโมทของแม่ทีมคนหนึ่ง ที่นำไปโพสต์เพื่อที่จะดึงคนเข้ามาร่วมทำธุรกิจ ตนเองไม่ได้รวยเหมือนสิ่งที่แม่ทีมคนนี้ซื้อออกไป ไม่ได้โปรไฟล์ดีเป็นแค่คนพิการยากจน

จากนั้น ทีมข่าวได้สอบถามบอสพอล ว่านี่เป็นครั้งแรกหรือไม่ที่ได้รับทราบปัญหา บอสพอล บอกว่า เคยรับทราบมาบ้างอย่างมีเคส มีปัญหา เป็นคนที่เข้ามาทำธุรกิจแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำธุรกิจออนไลน์และประสบความสำเร็จได้ มันมีทั้งคนที่สำเร็จ คนกลาง ๆ และคนที่ล้มเหลว วันนี้มาเห็นก็รู้สึกตกใจ บางคนถึงขั้นตายบางคนเป็นผู้พิการ

วันนี้ตนเองมารายการโหนกระแส เพราะตั้งแต่แรกหลังจากที่มีประเด็นขึ้นมา ตนยังไม่ได้มาก็เลยอยากมา ถ้าหนุ่ม กรรชัย อยากถามอะไรก็เล่าในข้อเท็จจริง แต่ถ้ามาแล้วรู้ปัญหา มันจะได้ไปช่วยได้ถูก และเริ่มแยกว่าใครคือผู้เสียหายจริง ซึ่งต้องตีความคำว่าผู้เสียหายให้ดี อย่างผู้เสียหายรายที่นั่งรถเข็นวีลแชร์ ทำมาได้สองเดือน ยังไม่ได้ทำธุรกิจหรือมีทีม แสดงว่ามีคนมาขายให้แล้วยังไม่ได้ขายต่อ แสดงว่ายังไม่เกิดรายได้ขึ้น แล้วของก็ไปกอง นี่คือความเสียหายเกิดขึ้นชัด

เมื่อถามว่าธุรกิจจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ คุณพอล ตอบว่าคิดว่ามันไม่น่าจะเหลืออะไรแล้ว มีแต่ซากปรักหักพัง ที่ผ่านมาเราทุ่มเท ตนเองไม่เหลือ แหลกสลายไปหมดแล้ว ที่ผ่านมาในวันที่เราลงมาช่วยเหลือ Support ในการดูแล แต่พอในวันที่มีปัญหาก็มากระทืบเราขนาดนี้ ตนเองกลัวคนไปแล้ว งงกับคนว่าตนทำอะไรวะ ยังไม่รู้เลยว่าสู้อยู่กับอะไร งงไปหมดแล้ว ทีมข่าวถามว่า ถ้าธุรกิจที่บอสพอล สร้างมาทั้งชีวิตถ้าถูกปิดตัวไปจะทำยังไง บอสพอลบอกว่าไม่มีอะไรจะพูดเลย ข้างในมันแหลก พูดไม่ออก

บอสพอล บอกว่า จุดอ่อนของธุรกิจก็อย่างที่เห็น เป็นเรื่องของคนล้วนๆ โมเดลธุรกิจคือซื้อมาขายไป มีทั้ง 2,500  25,000  250,000 แต่พอมาพูดแค่ 250,000 และบอกว่าตนเองไปบิ้วให้ซื้อเยอะ ถ้าในเมื่อไม่มีความพร้อมที่จะทำ ทำไมไม่ซื้อแค่ 2,500 สุดท้ายพอมีปัญหาก็มาต่อว่า หาว่าหลอกลวง นี่คือสิ่งที่ถูกสื่อสารออกไป ยืนยันว่าหนึ่งกล่องก็ขาย  10 กล่องก็ขาย ทำไมพอมีปัญหาก็มาโยนใส่แล้วบอกว่าหลอกลวง ทั้งที่บางคนได้เงินเป็น 100,000 เป็น 1,000,000 แล้ว มันหมดศรัทธาในคน เมื่อถามว่าที่มีปัญหาทุกวันนี้เป็นเพราะว่ามีหน่วยงานหรือใครมายุ่งรึเปล่า บอสพอล บอกว่าตนไม่ขอโทษใคร ให้มันจบที่ตนเองคนเดียว

จากนั้น บอสพอล เดินออกจากสตูดิโอเดินเข้าลิฟท์ขนของตรงบันไดหนีไฟ ลงไปชั้นใต้ดินหนีกองทัพสื่อทีมาดักรอสัมภาษณ์หลังจบโหนกระแส แต่นักข่าวบางส่วนก็ไปดักรอที่ชั้นใต้ดินของอาคารจอดรถจนได้เจอ โดยบอสพอล เดินก้มหน้าและมีเจ้าหน้าที่และทีมงาน เดินล้อมรอบรวมถึงกันสื่อมวลชน

นักข่าวพยายามสอบถามบอสพอล ถึงกรณีมีคลิปเสียงหลุดเป็นการพูดคุยกับนักการเมือง เพื่อขอช่วยเหลือในคดีดังกล่าว แต่บอสพอลไม่ได้ตอบคำถาม และขึ้นลิฟต์ไปชั้น 5 ลานจอดรถ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะที่นายวรัตน์พล หรือบอสพอล ออกมาได้เดินก้มหน้า และมีเจ้าหน้าที่และทีมงาน เดินล้อมรอบรวมถึงกันสื่อมวลชนออกด้วย

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/T3WDzMryQKs