สังคม

เปิดใจลูกสาว 'เฮียตุ้ง' เล่าพฤติกรรมพ่อ เสียใจ-ขอบคุณ 'รองหรั่ง' พยายามช่วยน้อง ก่อนถูกยิงดับ

โดย passamon_a

22 ก.ค. 2567

285 views

เปิดใจลูกสาว เฮียตุ้ง เล่าวินาทีเกลี้ยกล่อมพ่อ-จังหวะที่ รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม เข้าไปชาร์จตัว ถูกยิงเสียชีวิต เผยทำร้ายเมียและลูกประจำ ทนไม่ไหวต้องย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น "ขอโทษแทนพ่อ ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เสียใจมาก" ครอบครัวพร้อมไปร่วมงานศพ


จากกรณีที่ นายบุญมา หรือ เฮียตุ้ง อายุ 49 ปี ทะเลาะกับบุคคลภายในบ้าน ก่อนจะใช้อาวุธปืนยิงใส่ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม เสียชีวิต และยังมี ด.ต.ไชยวัฒน์ อัตโสภณวัฒนา ผบ.หมู่ ป.สน.ท่าข้าม ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากถูกสะเก็ดกระสุนกระเด็นใส่ที่บริเวณนิ้วโป้งมือซ้าย เหตุเกิดช่วงเวลาประมาณ 21.45 น. ที่บริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซอย 2 ถนนพระราม 2 แขวงและเขตบางบอน กรุงเทพฯ นั้น


เมื่อวันที่ 21 ก.ค.67 เวลา 09.20 น. ภายหลังเกิดเหตุ แพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช ได้ร่วมเข้าชันสูตรพลิกศพเฮียตุ้ง ภายในบ้านที่เกิดเหตุ เพื่อหาข้อสรุปการเสียชีวิตว่ายิงตัวเองหรือเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่เข้าระงับเหตุ รวมถึงเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบวิถีกระสุน ทั้งหมดเกือบ 100 นัด มาประกอบผลการเสียชีวิต ใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง


จากนั้นกู้ภัยได้ลำเลียงร่างของเฮียตุ้งออกจากบ้าน ส่งไปยังนิติเวช รพ.ศิริราช เพื่อชันสูตรตามขั้นตอนโดยละเอียดอีกครั้ง โดยก่อนลำเลียงศพออกไปนั้น ตำรวจได้เรียกให้ลูก 3 คน ของเฮียตุ้ง ที่สังเกตการณ์อยู่หน้าบ้าน เข้าไปพูดคุยที่บริเวณหน้าบ้าน และดูศพพ่อเป็นครั้งสุดท้าย


ช่วงเย็น ทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านหลังเกิดเหตุ พบลูกสาวของเฮียตุ้ง เดินทางมาดูเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบเก็บพยานหลักฐานภายในบ้านเพิ่มเติม


โดย น.ส.มิ้ว อายุ 23 ปี ลูกสาวคนโตของเฮียตุ้ง เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ตนมีพี่น้องทั้งหมด 5 คน เป็นผู้หญิงทั้งหมด (อายุ 23 / 22 / 19 / 15 / 10) ตอนเกิดเหตุตนอยู่ในบ้าน ไม่ได้รับบาดเจ็บมากแค่ฟกช้ำเล็กน้อย ส่วนน้องสาวอายุ 15 ปี ก็อยู่ในบ้านเช่นกัน ได้รับบาดเจ็บศีรษะแตก เนื่องจากถูกพ่อใช้ด้ามปืนตบ


พร้อมเล่าว่า ก่อนเกิดเหตุพ่อพยายามจะเอาโทรศัพท์โทรหาแม่ แต่น้องสาววัย 15 ปี ไม่ให้โทรศัพท์ ทำให้พ่อเกิดอารมณ์โมโห กระทั่งเกิดเหตุบานปลาย ที่ผ่านมาพ่อมักจะทำร้ายร่างกายแม่เป็นประจำจนลำตัวบอบช้ำ ล่าสุดเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว และทำร้ายร่างกายลูกสาวทั้ง 4 คน ยกเว้นลูกสาววัย 10 ขวบ จนแม่และลูก ๆ ทนไม่ไหว ต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่น


ทุกครั้งที่พ่อโมโหทำร้ายร่างกาย ยิ่งห้ามปรามเขาก็ยิ่งมีอารมณ์รุนแรง ซึ่งที่ผ่านมาพ่อโมโหร้าย มักจะใช้ไม้แขวนเสื้อ ด้ามไม้กวาด สายไฟ เข็มขัด ฟาดและตีลูก ๆ และกัดที่แขนขวาของตน ส่วนน้องสาวอายุ 22 ปี เคยถูกพ่อใช้กล่อง DVD เขวี้ยงใส่หัวจนคิ้วขวาแตก เป็นแผลเป็นจนถึงทุกวันนี้ ระยะหลังเริ่มด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย


ทั้งนี้ ก่อนที่พ่อจะคลั่ง ได้ดื่มเหล้า และพยายามติดต่อหาแม่ (ภรรยาเฮียตุ้ง) โดยได้จับน้องสาววัย 10 ขวบ เป็นตัวประกัน เพื่อให้แม่ของตนมาหา เชื่อว่าพ่อน่าจะน้อยใจที่ทิ้งให้พ่ออยู่คนเดียว อีกทั้งแม่ก็ไม่อยากกลับมาที่บ้านหลังนี้


ส่วนที่บอกว่าแม่เอาเงินของพ่อไป จนทำให้พ่อเครียดคลุ้มคลั่ง ไม่เป็นความจริง เพราะหลังจากที่แม่และพวกตนออกจากบ้านหลังนี้ไปอยู่ที่อื่น ก็เข้าไปในบ้านไม่ได้ เพราะพ่อเปลี่ยนกุญแจใหม่ ส่วนเรื่องอาการป่วยจิตเวช ก่อนหน้านี้พ่อเคยรักษาอย่างจริงจัง แต่ขอออกมาอยู่ที่บ้านและรับยามาทาน แม่จะเป็นคนพาไปหาหมอ แต่พ่อบอกไม่อยากไปเพราะอาการปกติแล้ว บางครั้งขาดการกินยาต่อเนื่อง


ส่วนที่พ่อยิงตำรวจเสียชีวิต คิดว่าไม่ได้ตั้งใจ เพราะตอนที่พ่อยิงตำรวจ น้องสาววัย 10 ขวบ ซึ่งอยู่ในบ้าน บอกว่าเห็นพ่อหน้าเหวอเพราะตกใจ เหมือนพ่อทำอะไรไม่ถูก จึงรัวกระสุนปืนออกมา เบื้องต้นยังไม่ได้คุยกับญาติของตำรวจที่เสียชีวิต "หนูขอโทษแทนพ่อหนูด้วย ก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทางบ้านเราก็เสียใจมาก ทางครอบครัวก็ให้กำลังใจกัน"


ขณะที่ น.ส.มิ้น อายุ 22 ปี ลูกสาวคนที่ 2 ของเฮียตุ้ง เผยว่า ยอมรับว่าตนบันดาลโทสะใช้ถ้อยคำไม่สุภาพกับพ่อ ตอนที่ตนช่วยเจ้าหน้าที่เรียกกล่อมพ่อ หลังจากที่ตนโทรให้แม่มาที่เกิดเหตุ ก็ได้โทรศัพท์เกลี้ยกล่อมพ่อ แต่พ่อก็ยังไม่ยอมเปิดประตูออกมา แต่พ่ออยากให้แม่เข้าไปในบ้าน เพื่อแลกกับน้องสาววัย 10 ขวบ ที่ถูกพ่อจับเป็นตัวประกัน


ช่วงที่คุยกันนั้นพ่อได้เปิดประตู ระหว่างนั้นน้องสาววัย 10 ขวบ กำลังจะก้าวขาออกมาจากบ้าน พ่อพูดว่า "ยังไม่ได้นะ แม่มึงยังไม่เข้าไปเลย" ส่วนตนเองยืนอยู่ประตูหน้าบ้าน จึงเปิดประตูให้กว้าง พ่อตะโกนออกมาว่า "มึงเปิดทำเหี้ยอะไร เปิดกว้างทำไม" จากนั้นพ่อก็ไปหยิบปืน


จังหวะนั้นรองหรั่ง พยายามจะเข้าไปชาร์จ เพื่อจะผลักให้ตัวพ่อล้ม แต่พ่อตกใจเหมือนตั้งลำปืนไว้แล้ว จึงยกปืนขึ้นมายิงใส่รองหรั่ง ตนเห็นว่าพ่อต้องยิงอีกแน่ จึงกระชากแขนน้องสาววัย 10 ขวบ ออกมาจากบ้าน และตนมองไปที่ร่างของรองหรั่ง ด้วยความเป็นห่วง ว่ายังหายใจอยู่หรือไม่


อีกทั้งก็เป็นห่วงพี่สาววัย 23 ปี และน้องสาววัย 15 ปี ยังอยู่ภายในบ้านออกมาไม่ได้ ก่อนที่เวลาต่อมาทั้งสองคนปีนออกประตูหน้าต่างชั้น 2 ห้อยสายไฟลงมา เดินเลาะบ้านคนอื่น และเจ้าหน้าที่นำบันไดไม้มาพาดให้พี่สาววัย 23 ปี และน้องสาววัย 15 ปี ปีนลงมาได้อย่างปลอดภัย ทางครอบครัวอยากขอบคุณรองหรั่ง ที่ทำให้น้องคนเล็กปลอดภัย โดยวันนี้ (22 ก.ค.) จะเดินทางไปร่วมงานศพของรองหรั่ง ด้วย


สำหรับอาวุธปืนของพ่อ เท่าที่เคยเห็น จำได้ว่าพ่อมีอาวุธปืนสะสมเอาไว้ที่บ้าน 4 กระบอกด้วยกัน ซึ่งเป็นปืนที่มีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นปืนที่พ่อได้ซื้อไว้ตั้งแต่ก่อนจะป่วยทางจิตเวช ที่ผ่านมาเคยเห็นพ่อไปสนามยิงปืนอยู่บ้าง และเพิ่งจะมีการนำปืนมาใช้ข่มขู่คนในบ้านเมื่อไม่นานมานี้


ทีมข่าวได้คุยกับเพื่อนบ้านหลังตรงข้าม เล่าว่า เฮียตุ้งมักจะมานั่งดื่มเบียร์กับตนเป็นประจำ บางครั้งพกปืนเหน็บเอวมาด้วย และจะเล่าปัญหาเรื่องครอบครัวให้ตนฟัง และมีปัญหากับภรรยา ที่ผ่านมาตนเคยเห็นเฮียตุ้ง ไล่ตีและทำร้ายลูก จนลูกวิ่งหนีออกจากบ้านไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน และเคยเห็นเฮียตุ้งจับหัวลูกโขกกับรถ แต่ไม่มีเพื่อนบ้านคนไหนกล้าเข้าไปช่วย เพราะกลัวโดนลูกปืน


ส่วนคืนเกิดเหตุตนนั่งอยู่หน้าบ้าน เห็นลูกสาวเดินมาตีประตูหน้าบ้านให้พ่อเปิดออกมา ก่อนที่ตำรวจสายตรวจจะตามมา และเฮียตุ้งเกิดอาการคลุ้มคลั่งอย่างหนัก ตำรวจพยายามเข้าไประงับเหตุ ทีแรกตนเห็นตำรวจที่เสียชีวิตใส่เสื้อเกราะกันกระสุน ก่อนที่ตำรวจคนดังกล่าวจะถอดเสื้อเกราะกันกระสุนออก พยายามจะเข้าไปชาร์จตัวเฮียตุ้ง ตนเห็นยังคิดว่าทำไมถึงถอดเสื้อเกราะออก เฮียตุ้งยิ่งบ้าคลั่งอยู่ ก่อนที่ตำรวจจะถูกเฮียตุ้งยิงเสียชีวิตบริเวณประตูหน้าบ้าน


ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีเมื่อคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าระงับเหตุชายอายุ 49 ปี มีอาการคลุ้มคลั่งและมีอาวุธปืน ใช้อาวุธปืนตีทำร้ายบุตรสาวและกักขังไว้ในบ้านพักย่านพระราม 2 แขวงและเขตบางบอน กรุงเทพมหานคร ซึ่งระหว่างระงับเหตุและเจรจาต่อรอง ชายคนดังกล่าวได้เปิดประตูออกมาและใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหลายนัด เป็นเหตุให้ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม เสียชีวิต และ ด.ต.ไชยวัฒน์ อัตโสภณวัฒนา ผบ.หมู่ ป.สน.ท่าข้าม ได้รับบาดเจ็บนั้น จึงได้สั่งการให้ดูแลสวัสดิการ พิจารณาปูนบำเหน็จสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามระเบียบราชการอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจต่อข้าราชการตำรวจและทายาทของผู้เสียชีวิตต่อไป


สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม อายุ 59 ปี ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่อย่างมีจิตวิญญาณผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ นับเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยได้ดูแลสิทธิประโยชน์เบื้องต้นให้กับครอบครัวของ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จำนวน 4,577,210 บาท พร้อมปูนบำเหน็จความดีความชอบตอบแทนเป็นกรณีพิเศษ โดยขอเลื่อนเงินเดือนให้ 6 ขั้น ขอพระราชทานยศเป็น พล.ต.อ. รวมทั้งการจัดพิธีศพให้สมเกียรติ โดยวันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคมนี้ เวลา 17.00 น. มีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ณ วัดยางสุทธาราม แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร, พิธีสวดพระอภิธรรมศพ วันที่ 22-27 กรกฎาคม 2567 และพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2567


ในส่วนของ ด.ต.ไชยวัฒน์ อัตโสภณวัฒนา ผบ.หมู่ ป.สน.ท่าข้าม อายุ 41 ปี ที่ได้รับบาดเจ็บ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดูแลสิทธิประโยชน์เบื้องต้น จำนวน 33,000 บาท และจะได้ดูแลสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามหลักเกณฑ์อย่างเต็มที่ต่อไป พร้อมกันนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ได้สั่งการให้ถอดบทเรียน และทบทวนยุทธวิธีการปฏิบัติจากกรณีดังกล่าว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียขึ้นอีก


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/0rYUtTFkMJs

คุณอาจสนใจ

Related News