สังคม

ตร.รู้ตัวแล้ว! หนุ่มบุกเดี่ยว ชิงทอง 40 บาทใน 1 นาที กลางห้างดังย่านมีนบุรี ยืม จยย.เพื่อนมาก่อเหตุ

โดย petchpawee_k

19 ก.ค. 2567

40 views

เมื่อเวลา 11:20 น. วานนี้ (18 ก.ค.) ตำรวจสายตรวจ สน.มีนบุรี รับแจ้งเหตุวิ่งราวทรัพย์ ภายในห้างทองออโรร่า ห้างดัง ถนนรามคำแหง แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ คนร้ายได้หลบหนีไปก่อนหน้าแล้ว


โดยปรากฏตามภาพวงจรปิดหลากหลายมุมจากภายในร้าน ซึ่งจะเห็นวินาทีที่คนร้ายเดินเข้ามาอย่างนิ่มๆ โดยแต่งกายปิดบังอำพรางตัว ก่อนจะใช้มือขวาชักสิ่งของบางอย่างออกจากกระเป๋าสะพาย แล้วปีนเคาน์เตอร์เปิดตู้กวาดทองคำจากถาดใส่กระเป๋า แล้วหลบหนีออกจากร้านไป โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที


และวงจรปิดบริเวณหน้าห้างยังได้จับภาพคนร้ายวิ่งหนีออกไปขึ้นรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟสีฟ้า ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน โดยมีกล่องด้านหลังแบบไรเดอร์ขี่หนีไปตามเส้นทางถนนรามคำแหง ไม่ทราบเส้นทางหลบหนีแน่ชัด  


นอกจากนี้มีรายงานเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบคนร้ายได้ขี่รถขึ้นรถจักรยานยนต์ จอดไว้ด้านหลังร้านกาแฟ ขับหลบหนีออกไปด้านถนนรามคำแหง จึงได้วิทยุสกัดจับ เมื่อไล่ภาพจากกล้องวงจรปิดพบว่า คนร้ายขี่รถหลบหนีไปตามถนนรามคำแหง ก่อนนำไปจอดทิ้งไว้ ภายในซอยราษฎร์พัฒนา 23


จากการสอบถามผู้จัดการร้านแจ้งว่า มีชาย 1 คน สวมเสื้อแขนยาวสีดำแบบมีฮูด กางเกงยีนสีดำ รองเท้าแตะ กระเป๋าสะพายไหล่สีดำสายสีแดง โดยได้ชิงทองจำนวน 1 ถาด น้ำหนักทองประมาณ 40 บาท ใส่กระเป๋าที่สะพายมา แล้ววิ่งหลบหนีไปบริเวณหน้าห้าง โดยใช้รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าเวฟ สีฟ้า ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน โดยด้านหลังมีกล่องไรเดอร์สีส้ม ขี่หลบหนีไป


ด้านพนักงานร้านทองที่เห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุนั้นมีพนักงานอยู่ในร้าน 4 คน และมีลูกค้าอยู่ในร้าน 2 คน สักพักหนึ่งก็มีชายรูปร่างสูงประมาณ 170 เซนติเมตร ผอม แต่งกายปิดบังใบหน้า คุมมิดชิด เดินเข้ามาภายในร้าน ก่อนที่จะกระโดดปีนเคาน์เตอร์ไปเปิดตู้กระจกที่เก็บทองในร้าน แล้วหยิบถาดทองมา 1 ถาด ก่อนจะเก็บเอา สร้อยคอทองคำรูปพรรณเหล่านั้นใส่กระเป๋า คาดว่าน้ำหนักรวมประมาณ 40 บาท โดยใช้เวลาก่อเหตุไม่ถึง 1 นาที คนร้ายก็วิ่งออกจากร้านไป

ตอนนั้นตนตกใจอย่างมากและหวาดกลัวว่าเขาจะมีอาวุธ จึงรีบก้มหลบ แต่ทั้งนี้ตนไม่สังเกตเห็นอาวุธหรือตัวคนร้ายชักอาวุธขึ้นมาแต่อย่างใด ยอมรับว่าขณะที่เกิดเหตุนั้นมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของห้างอยู่หน้าร้าน แต่คนร้ายใช้เวลาก่อเหตุอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว ผู้สื่อข่าวได้สอบถามอีกว่าก่อนหน้านี้ มีบุคคลแปลกหน้ามาทำทีสังเกตการณ์หน้าร้านหรือไม่ พนักงานคนนี้ตอบเพียงว่าไม่ทันได้สังเกต


ต่อมา ตำรวจสามารถพิสูจน์ทราบตัวผู้ต้องสงสัยได้ คือ นายพงษ์ศธร หรือบาส อายุ 26 ปี อาศัยในพื้นที่แขวงราษฎร์พัฒนา เขตสะพานสูง พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบรถต้องสงสัยภายในซอยราษฎร์พัฒนา คือ ฮอนด้าเวฟ สีฟ้ามีกล่องไรเดอร์สีส้มอยู่ท้ายรถ พร้อมหมวกกันน็อคสีเขียวคาดสีดำวางอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ยึดเอาไว้ตรวจสอบ


ด้านตำรวจสืบสวน สน.มีนบุรี ให้ข้อมูลกับทีมข่าว ระบุว่า ผู้ก่อเหตุได้ยืมจักรยานยนต์ของเพื่อนที่เป็นไรเดอร์ โดยอ้างว่า จะยืมจักรยานยนต์ไปซื้ออาหารกิน แต่สุดท้ายก็นำรถจักรยานยนต์ของเพื่อนไปก่อเหตุ โดยหลังจากก่อเหตุเสร็จ ผู้ก่อเหตุได้นำรถจักรยานยนต์จอดทิ้งไว้ภายในซอยราษฎร์พัฒนา 23 แล้วหลบหนีไป พร้อมทิ้งทองเอาไว้จำนวน 3 เส้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าคนร้ายได้หลบหนีไปทิศทางใด


เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนได้เชิญตัวนายเบนซ์เพื่อนของผู้ก่อเหตุ ที่เป็นเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์มาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว โดยเพื่อนผู้ก่อเหตุ ระบุว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ พร้อมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ผู้ก่อเหตุนั้นเป็นคนติดเกม แต่ยังไม่มีข้อมูลว่า ตัวผู้ก่อเหตุการพนันหรือติดยาเสพติดหรือไม่


หลังสอบปากกคำนาน 2 ชม. นายเบนซ์ก็ได้ออกมาจากห้องพนักงานสอบสวน เพื่อไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์อีกครั้ง


โดยระหว่างทาง ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายเบนซ์ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น นายเบนซ์ เล่าว่า เมื่อช่วง 11:00 ที่ผ่านมา ผู้ก่อเหตุมาบอกกับตนว่า ขอยืมรถจักรยานยนต์ เพื่อไปซื้อข้าว ซึ่งเป็นไปตามปกติ เพราะว่าผู้ก่อเหตุมักจะมายืมรถตอนไปซื้อข้าวเป็นประจำเกือบทุกวัน


โดยหลังเกิดเหตุ ตัวผู้ก่อเหตุได้ติดต่อมาที่ตนเพื่อนัดรับคืนรถบริเวณซอยราษฎร์พัฒนา 23 พร้อมกับบอกเพียงแค่ว่า "ขอโทษ ขอโทษ" แต่ตนก็ไม่ทันได้สอบถามว่าจะขอโทษเรื่องอะไร เพราะตอนนั้นต้องการที่จะนำรถไปวิ่งงาน


นายเบนซ์เปิดเผยอีกว่า ที่ตนยินยอมให้ผู้ก่อเหตุยืมรถนั้น เพราะสนิทและรู้จักกันตั้งแต่สมัย ม.1 และที่ผ่านมาตัวผู้ก่อเหตุเองก็ไม่มีลักษณะนิสัยที่จะนำไปสู่การก่ออาชญากรรมได้ แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเพื่อนจะนำรถของตนนั้นไปใช้ก่อเหตุแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาผู้ก่อเหตุไม่เคยเล่าให้ฟังว่ามีความเดือดร้อนเรื่องอะไร และเท่าที่ทราบ เขาไม่มีครอบครัว ไม่มีลูกเมีย ซึ่งทันทีที่ตนทราบว่าเพื่อนนำรถไปใช้ก่อคดีก็ตกใจอย่างมากและต้องประสบกับความเดือดร้อน เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องอายัดรถของตนเอาไว้เป็นพยานหลักฐาน ทำให้ตนไม่มีรถที่จะใช้วิ่งงาน


นายเบนซ์กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้ผู้ก่อเหตุเข้ามามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเนื่องจากมีพยานหลักฐานและมีภาพวงจรปิดที่เห็นตัวผู้ก่อเหตุอย่างชัดเจนขนาดนี้ ยังไงก็หนีไม่รอด พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า หลังจากนี้ตนคงเลิกคบผู้ก่อเหตุเป็นเพื่อนอีกต่อไป


ในขณะเดียวกันทีมข่าวรายงานว่า มีคลิปที่น้องชายของนายพงษ์ศธร ผู้ก่อเหตุ ได้โทรศัพท์ไปหานายพงษ์ศธร เพื่อเจรจาเกลี้ยกล่อมให้มอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยผู้ต้องสงสัยได้สอบถามน้องชายว่าอยู่กับตำรวจหรือไม่ แต่น้องผู้ต้องสงสัยอ้างว่าอยู่ที่บ้านเพื่อนอีกหลังหนึ่ง แต่บอกว่า ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาติดตามตัวผู้ต้องสงสัยแล้วโดยไม่สอบถามผู้ต้องสงสัยว่าไปทำอะไรไว้และให้รีบมอบตัวเสีย  ซึ่งตัวผู้ต้องสงสัยเองก็ทำทีเหมือนกับไม่ได้ยินและพยายามถามย้ำกับน้องของตนว่า อยู่กับตำรวจหรือเปล่า และไม่พูดจาอะไรอีกก่อนคลิปจะจบไป


รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/qWZ-Ma_gyEA


คุณอาจสนใจ

Related News