สังคม
น้ำมันของกลางเหลือแค่ก้นถัง! เรือของกลาง 3 ลำ พบรอยทาสีใหม่ ตัดแปลงสภาพตบตา จนท.
โดย petchpawee_k
18 มิ.ย. 2567
390 views
เรือของกลาง 3 ลำ เทียบท่าเรือกองกำกับการ 7 ตำรวจน้ำสงขลาแล้ว พบลูกเรือพยายามทาสีเรือหวังดัดแปลงรูปพรรณแต่ไม่เสร็จ ผู้บังคบการตำรวจน้ำชี้ หากทำสำเร็จอาจตามไม่เจอ ขณะที่บิ๊กเต่าลุยตรวจสอบ พร้อมยอมรับน้ำมัน ที่พบเหลือเพียงขับเคลื่อนเดินเรือได้เท่านั้น สั่งเอาผิดตำรวจ ที่เกี่ยวข้องขั้นเด็ดขาด – ด้านผู้ต้องหาต้องสอบเข้มตลอดคืน สื่อจี้ถาม 8 ผู้ต้องหาปัดตอบสื่อ
กรณีที่กองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) รายงานว่าเรือบรรทุกน้ำมันของกลางขนาดใหญ่จำนวน 3 ลำ ซึ่งบรรจุน้ำมันรวมกว่า 3.3 แสนลิตร หายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้พบเรือน้ำมันของกลางทั้ง 3 ลำแล้ว โดยจะมีการนำเรือทั้ง 3 ลำนำเข้าเทียบที่ท่าเรือ จ.สงขลา
ล่าสุดช่วงค่ำวานนี้ (17 มิ.ย.67) เวลา 19.35 น. พบว่าเรือทั้ง 3 ลำเทียบท่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเรือของกลางทั้ง 3 ลำ ค่อยๆ ทยอยเข้าจอดเทียบท่าเรือกองกำกับการ 7 ตำรวจน้ำ จังหวัดสงขลา หลังจากถูกจับได้ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะมาเลเซีย โดยเรือลำแรกที่เข้าเทียบท่าเรือ คือ "เรือกำไรเงิน" หรือ ซีออร์ส ขนาดความยาวประมาณ 65 ฟุต ซึ่งเรือลำนี้พบว่ามีความพยายามดัดแปลงด้วยการทาสี แต่ยังทาไม่เสร็จทั้งลำเนื่องจากว่า รีบหลบหนีตำรวจ โดยจากการตรวจสอบเรือลำแรกพบว่า มีการใช้สีเทาทาปรับสีพื้นเดิมที่เป็นสีแดงก่อนจะใช้สีเขียวทาทับ ที่พื้นเรือ และเก๋งเรือ โดยเรือลำนี้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 3 คน แล้วจากการตรวจสอบบนเรือ ก็พบว่ามีสุนัขอีก 2 ตัวด้วย
สำหรับเรือลำที่ 2 ที่เข้าเทียบท่าคือเรือ "เจ พี" ขนาดความยาวประมาณ 65 ฟุต มีผู้ต้องหา 4 คน และมี สุนัข 1 ตัว นั่งอยู่บนเรือ โดยมีกำลังตำรวจมัจฉานุควบคุมตัวไว้อย่างเข้มงวด
หลังจากนั้นเรือลำที่ 3 "เรือดาวรุ่ง" ขนาดประมาณ 50 ฟุต เข้าจอดเทียบท่า เป็นลำสุดท้าย ซึ่งเรือลำนี้เครื่องยนต์เสียจึงต้องใช้เรืออีกลำลากเข้าจอดเทียบท่า โดยมีผู้ต้องหา 1 คน
โดยพลตำรวจตรี พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ เปิดเผยกับสื่อมวลชน หลังจากที่เรือทั้ง 3 ลำ เทียบท่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยระบุว่า เรือกำไรเงิน ที่พบว่ามีความพยายามดัดแปลงเห็นได้ชัดเจนมากที่สุด เนื่องจากยังทาสีไม่เสร็จทั้งลำ เชื่อว่าต้องการเร่งทำเพื่อให้นำกลับมาใช้งานได้ และหากกลุ่มผู้ต้องหา ดัดแปลงทาสีเรือทั้งลำได้สำเร็จ ก็เชื่อว่าจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จนทำให้ตำรวจอาจตามไม่เจอ ซึ่งหลังจากนี้จะให้เพียงตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน และชุดสืบสวนของกองบังคับการปราบปราม พนักงานสอบสวน ขึ้นไปตรวจสอบบนเรือเท่านั้น เนื่องจากต้องมีการตรวจพิสูจน์เรื่องของดีเอ็นเอที่อยู่บนเรือ ก่อนจะให้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปสอบปากคำ
ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ออกมาให้สัมภาษณ์หลังจากตำรวจมีการขึ้นไปตรวจสอบบนเรือ ของกลาง 3 ลำ โดยหลักๆที่หลายคนสงสัยคือเรื่องของปริมาณน้ำมัน นักข่าวได้ถาม พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ทันทีว่า “เอาตรงๆ น้ำมัน 330,000 ลิตร เหลือพอทอดไข่หรือไม่” ซึ่งพล.ต.ต.จรูญเกียรติ นิ่งไปสักครู่ก่อนจะตอบว่า บนเรือแต่ละลำเหลือน้ำมันเล็กน้อยซึ่งเพียงพอสำหรับแค่การขับเคลื่อนเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถยืนยันเป็นจำนวนมากตัวเลขที่ชัดเจนได้ว่าเหลืออยู่เท่าไหร่ โดยขนาดความลึกของถังอยู่ที่ 3.8 เมตรแต่เหลือเพียง 1 เมตร ขอเวลาให้ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบให้ชัดเจน โดยเรือทั้ง 3 ลำ มีมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท
ส่วนตัวเชื่อว่า น้ำมันของกลางที่อยู่บนเรือไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของกลุ่มผู้ต้องหา เพราะสามารถขายได้เพียงลิตรละ 10 บาท มูลค่ารวม 4 -5 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนน้ำมันที่สูญหายไป ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินคดี ในข้อหาลักทรัพย์ และเรือทั้ง 3 ลำก็ยังต้องถูกอายัดเป็นของกลาง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีผู้เสียหาย มาแสดงตัวยืนยันเป็นเจ้าของ เรือ ศาลจึงออกหมายจับ ในเรื่องของการลักทรัพย์ซึ่งเป็นของกลางเท่านั้น ซึ่งก็แน่ชัดว่า เหตุการณ์นี้ต้องมีเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องต่อหน้าที่
ขณะนี้สั่งการว่าต้องมีความชัดเจนในเรื่องของการสอบสวน ภายใน 7 วัน ซึ่งต้องมาดูว่าการบกพร่องต่อหน้าที่นั้น ทำให้เกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด ก่อนเอาผิดตามมาตรา 157 ยืนยันว่าไม่มีละเว้น ดำเนินการขั้นเด็ดขาด
สวนผู้ต้องหาทั้ง 8 คน จะถูกดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ รวมถึงอีก 7 คนที่หลบหนี อยู่ระหว่างการติดตามตัว ซึ่งอยากฝากถึงผู้ต้องหา ที่ยังหลบหนี ว่าอยากให้เข้ามอบตัว และให้การกับตำรวจ เพื่อเป็นประโยชน์ ต่อการทำคดี ซึ่งเจ้าของเรือถือเป็นคนสำคัญ ส่วนผู้ต้องหา 28 คนในคดีที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ก็จะต้องส่งฟ้องไป ตามกระบวนการทางกับกฎหมาย พร้อมทั้งเตรียม เพิกถอนการประกันตัว
โดยเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับทั้งหมดนี้ เป็นเพียงลูกจ้าง ส่วนตัวการจะสั่งงานผ่านทางโทรศัพท์ ในการซื้อขายน้ำมันเถื่อนเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่ขึ้นเรือไปเป็นลูกจ้างก็จะกินนอนอยู่บนเรือโดยมีสุนัขเฝ้าเรืออยู่ด้วย และไม่ได้ติดต่อกับทางครอบครัว ส่วนพยานหลักฐานที่จะเชื่อมโยงถึงเจ้าของเรือหรือผู้สั่งการ จะมีการตรวจสอบทางอิเล็กทรอนิกส์อีกครั้ง ในครั้งนี้อาจจะมีส่วนให้เป็นการเพิ่มโทษกับตัวนายโจ้ ปัตตานี ในส่วนคดีแรกที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ซึ่งยอมรับว่าตัวนายโจ้เองไม่ธรรมดา ใช้เงินเป็นอาวุธ ตามจับมานานแล้วแต่ก็ หลุดรอดไปได้ ทุกครั้ง
ต่อมาหลังจากที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบเรือเสร็จสิ้น และมีการพูดคุยกับผู้ต้องหาเบื้องต้นก็ได้มีการ นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดมาตั้งแถว บนเรือแต่ละลำ เพื่อที่จะเตรียมควบคุมตัวขึ้นรถตู้ ไปสอบปากคำ ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองสงขลา ซึ่งคาดว่าจะมีการสอบปากคำ ผู้ต้องหาทั้ง 8คน ตลอดคืน โดยเฉพาะในประเด็น เรื่อง ของกลางที่หายไปรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้สั่งบงการ และเส้นทางการหลบหนี รวมถึงผู้ต้องหาอีก 7 คนที่ยังหลบหนีว่ามีข้อมูล ว่าหลบหนีอยู่พื้นที่ใดหรือไม่
โดยระหว่างที่ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาจากเรือของกลางลงมาที่ท่าเทียบเรือ ผู้สื่อข่าวพยายามเข้าไปสอบถามทั้ง 8 คน เกี่ยวกับเกลือของกลางที่หายไป และผู้สั่งการ รวมถึงการใช้ชีวิตระหว่างที่หลบหนีอยู่ในประเทศกัมพูชา ว่ามีการนำน้ำมันไปขายที่ใดบ้าง รวมถึงมีการสอบถามถึงสุนัขบนเรือซึ่งอยู่ประจำ แต่ละเรือ โดยมี 1 ในลูกเรือที่บอกว่า หากถูกจับไป ก็คงจะคิดถึงสุนัขที่อยู่บนเรือ แต่ในส่วนของประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทางคดี ไม่มีผู้ต้องหาคนใด ยอมตอบคำถามกับสื่อมวลชน ก่อนที่ทั้งหมดจะขึ้นรถตู้ เดินทางออกไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้านี้ ตำรวจได้รับข้อมูลจาก “นายเล็ก” ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกเรือที่จะต้องขึ้นเรือ 1 ใน 3 ลำนี้ด้วย แต่เมาหลับไป จึงไม่ได้ขึ้นเรือ โดยอ้างว่า เรือทั้ง 3 ลำ มีเส้นทางไปยังเกาะกูด จังหวัดตราด เพื่อมุ่งหน้าออกไปยังน่านน้ำประเทศกัมพูชา เนื่องจาก คาดว่า ได้รับคำสั่งจาก “โจ้ ปัตตานี” ที่หลบหนีคดีน้ำมันเถื่อนอยู่ในประเทศกัมพูชา เป็นผู้สั่งการให้เรือทั้ง 3 ลำ ไปขนย้ายน้ำมันขึ้นบก ที่ประเทศกัมพูชา แต่ต่อมากลับพบว่า เรือทั้ง 3 ลำ เลือลำอยู่ในน่านน้ำ จังหวัดสงขลา จึงมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะเป็นการปล่อยข่าวให้เจ้าหน้าที่เกิดความสับสน ส่วนที่พบเรืออยู่ในจังหวัดสงขลา ก็เชื่อว่า มีความเชื่อมโยงกับเจ้าของเรือตัวจริง เพราะเรือทั้งหทด มีถิ่นที่อยู่ในจังหวัดปัตตานี ในชื่อของ “นายโจ้ ปัตตานี”
ส่วนน้ำมันที่สูญหาย มูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท เชื่อว่า กลุ่มคนร้ายที่หลบหนีไปอีกประมาณ 10 คน จะเป็นผู้ลักลอบนำไปขายให้กับเรือประมงกลางทะเล ซึ่งกรณีนี้ ตำรวจต้องเร่งติดตามกลุ่มผู้ต้องหาที่หลบหนี และสืบสวนขยายผลว่า ได้นำน้ำมันไปขายให้ผู้ใดบ้าง และบุคคลใดเป็นผู้บงการ สั่งให้เรือทั้งหมดหลบหนีจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ
ส่วนการขับเรือทั้ง 3 ลำ เชื่อว่า เป็นการใช้ประสบการณ์ และคำนวนจากแผนที่ โดยขับตามกันมา โดยตั้งใจนำน้ำมันส่งขายกลางทะเล ก่อนปล่อยเรือคืนตำรวจ
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/2b02HrID1PA