สังคม

‘บิ๊กเต่า’ สั่งฟันตำรวจน้ำ เอี่ยวเรือน้ำมัน 3 แสนลิตรหาย เชื่อมีใบสั่งพาหนี - ผู้การฯ ตำรวจน้ำรับ บกพร่องปล่อยเรือหาย

โดย petchpawee_k

14 มิ.ย. 2567

69 views

ผู้การฯ ตำรวจน้ำยอมรับ สารวัตรบกพร่องปล่อยเรือน้ำมัน 3 แสนกว่าลิตร มูลค่ากว่า 10 ล้านบาทหาย การข่าวพบเป็นขบวนการ “โจ้ ปัตตานี” พ่อค้าน้ำมันเถื่อน คาดเรือทั้งหมดถูกส่งไปประเทศเพื่อนบ้านแล้ว  ล่าสุดวงจรปิดจับภาพลูกเรือซื้อเสบียงขึ้นเรือมากกว่าทุกวัน คาดเป็นการเตรียมการ 


กรณีที่กองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) รายงานว่า เรือบรรทุกน้ำมันของกลางขนาดใหญ่จำนวน 3 ลำ ซึ่งบรรจุน้ำมันรวมกว่า 3.3 แสนลิตร หายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี


โดยเมื่อวานนี้  (13 มิ.ย.67) นับว่าเป็นวันที่ 2 ในการติดตามหาเรือบรรทุกน้ำมันดีเซลเถื่อน 3 ลำ ที่บรรทุกน้ำมัน 3 แสน 3 หมื่นลิตร หลบหนีออกจากหน่วยเก็บของกลางตำรวจน้ำ ที่ท่าเทียบเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรีแล้ว คาดมุ่งหน้าเข้าน่านน้ำประเทศเพื่อนบ้าน


สำหรับเรือของกลางที่หายไปประกอบด้วย เรือ เจ.พี. บรรทุกน้ำมันดีเซลเถื่อน 8 หมื่นลิตร พร้อมลูกเรือ 7 คน เรือซีฮอต บรรทุกน้ำมันดีเซลเถื่อน 1 แสน 5 หมื่นลิตร พร้อมลูกเรือ 6 คน และ เรือดาวรุ่ง บรรทุกน้ำมันดีเซลเถื่อน 1 แสนลิตร พร้อมลูกเรือ 5 คน หายไปจากจุดที่ทิ้งสมอเรือ เหลือเพียงเรือ ช.โชคบุญชู 91 และเรือกำไลเงิน ซึ่งทั้ง 2 ลำไม่ได้บรรทุกน้ำมัน


คดีนี้ต้องย้อนกลับไปวันที่ 19 มีนาคม 2567 ตำรวจน้ำได้ตรวจยึดเรือทั้ง 5 ลำ มาจากนอกน่านน้ำไทย หลังตรวจสอบพบว่าเป็นเรือสัญชาติไทยที่ลักลอบขนน้ำมันเถื่อน ก่อนจะลากมาจอดที่หน่วยเก็บรักษาของกลาง ท่าเทียบเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรทำเรื่องขายทอดตลาดน้ำมันดีเซลของกลาง ส่วนผู้ต้องหาประจำเรือทั้งหมด หลังส่งตัวให้ตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ.แล้ว  เมื่อได้ประกันตัว ตำรวจน้ำก็ให้ทุกคนกลับลงเรือของตัวเอง เพื่อคอยดูแลเรือของกลาง พร้อมจัดกำลังตำรวจเป็นเวรแต่ละผลัดมาเฝ้าเรือแต่ละลำ


แต่วันที่ 9 มิถุนายน รับแจ้งว่าจะมีพายุเข้ามา เกรงว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เรือเกิดความเสียหายได้จึงต้องให้นำเรือไปจอดทิ้งสมอห่างจากท่าเรือไปราว 100 เมตร


11 มิถุนายน ราว 2 ทุ่ม เจ้าหน้าที่ยังคงเห็นเรือเหล่านั้นเปิดไฟอยู่  แต่ 4 ทุ่ม เรือปิดไฟ แล้วมาเห็นอีกทีตอนเช้าวันที่ 12 มิถุนายน  เรือ 3 ลำที่บรรทุกน้ำมันได้หายไปแล้ว ตำรวจได้ระดมกำลังค้นหาทั้งทางน้ำและอากาศแต่ไม่พบ  โดยขณะนี้เชื่อได้ว่าเรือทั้ง 3 ลำ ที่หายไปไม่อยู่ในน่านน้ำไทยแล้ว แต่ไปอยู่ในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านทางด้านจังหวัดตราด และเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ต้องมีคนช่วย


ความคืบหน้าเมื่อวานนี้ (13 มิถุนายน) ตำรวจพบกล้องวงจรปิดที่ท่าเรือสัตหีบ บันทึกภาพช่วงหัวค่ำวันที่ 9 มิถุนายน พบว่า ลูกเรือซื้อเสบียง  ขนของขึ้นเรือมากกว่าทุกวัน ซึ่งนี่เป็น 1 ในหลักฐานที่ใช้ระบุว่าลูกเรือมีใครบ้างที่หลบหนี และการขนของเสบียงเหล่านี้ ทำให้เชื่อได้ว่ามีการเตรียมตัวล่วงหน้าว่าจะหลบหนี

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้คลิปในวันที่ (11 มิ.ย.67) ก่อนที่เรือบรรทุกน้ำมัน ทั้ง 3 ลำ จะหายไป จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า มีรถวิ่งเข้าออกและมีการเดินของคนเข้ามากกว่าปกติ มากกว่าทุกวันที่มีเรือมาจอด ซึ่งจากการดูภาพในกล้องวงจรปิด มีรถบรรทุกถังน้ำมันอยู่หลังรถ  ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับการหายของเรือบรรทุกน้ำมันหรือไม่ แต่ก็ตรงกับการให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ระบุว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุ กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพได้ว่าในช่วงเย็นก่อนเรือจะหาย ลูกเรือมีการขนของในช่วงเย็น


ทั้งนี้ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ของวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ตอนเวลา 20.11 น. พบเรือบรรทุกน้ำมันของกลางทั้ง 3 ลำ กำลังแล่นออกจากอ่าวสัตหีบไปสักระยะก็มีการปิดไฟบนเรือ ต่อมาในช่วงเวลา 06.18 น. ของวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ได้มีกลุ่มบุคคลไม่ทราบว่าเป็นใคร วิ่งออกมาจากสะพานก่อนจะมารวมตัวปรึกษาหารือกัน (ช่วงนี้คิวสติงชลบุรี 285)


ต่อมา พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ นุชนารถ ผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจน้ำ เปิดเผยว่า  เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทางทะเล รวมทั้งการข่าวภาคประมง  อยู่ระหว่างการระดมสรรพกำลังติดตามเรือบรรทุกน้ำมันที่สูญหาย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนแล้ว โดยประสานกองบินตำรวจให้ช่วยติดตามจากภาคอากาศ เป็นการบินลาดตระเวนในแนวที่คาดว่าเรือจะไปถึง


สำหรับเรือของกลางในรอบนี้มีทั้งหมด 5 ลำ เป็นการติดตามจับกุมตรวจยึดมาตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม ตามข้อหา พรบ.ศุลกากร และ พรบ.สรรพสามิต หลังตรวจยึดมาได้ อยู่ในระหว่างการทำเรื่องจำหน่ายน้ำมันของกลางโดยรูปแบบการประมูลขาย  ซึ่งส่วนนี้ทำโดยเจ้าหน้าที่จากกรมศุลกากร  ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มาลงพืั้นที่มาตรวจปริมาณและคุณภาพน้ำมันที่ยึดมาได้ไป 2 ครั้งแล้ว ซึ่งการจัดประมูลขายต้องใช้เวลา


พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า จากการจับกุมเรือของกลางทั้ง 5 ลำ  มีน้ำมันเถื่อนอยู่ภายใน 3 ลำ  คือลำที่หายไป  ส่วนอีก 2 ลำเป็นเรือเปล่าที่คาดว่าอยู่ระหว่างการไปรับน้ำมัน หรือส่งน้ำมันเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่เชื่่อได้ว่าทั้ง 5 ลำที่จับมาเป็นคนละเจ้าของ


ทั้งนี้ การตรวจยึดเรือของตำรวจน้ำ ตามขั้นตอนปกติแล้วจะต้องมีเจ้าหน้าที่เฝ้าเวรตลอด 24 ชั่วโมง และต้องมีคนประจำอยู่ในเรือด้วย เพราะต้องคอยเปิดเครื่องสูบน้ำ สูบน้ำออกจากใต้ท้องเรือตลอด ไมเช่นนั้นเรือจะจม สำหรับเรือของกลางเมื่อจับกุมมา ทางตำรวจน้ำได้ส่งตัวผู้ต้องหาในเรือทั้งหมดให้ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อทั้งหมดได้รับการประกันตัวออกมา ตำรวจน้ำได้ให้เจ้าของเรือและลูกเรือเดิม กลับลงเรือไปคอยดูแลเรือของกลาง โดยจัดกำลังตำรวจเป็นเวรแต่ละผลัดมาเฝ้าเรือแต่ละลำ


ในวันที่เกิดเหตุ คือ วันที่ 11 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานมาตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน แล้วว่าในทะเลจะมีคลื่นแรง และอาจทำให้เรือที่ผูกติดอยู่กับท่าเรือ กระแทกกับท่าเรือและอาจเกิดประกายไฟได้เมื่อประกอบกับภายในเรือมีการบรรจุน้ำมันจึงอาจเสี่ยงอันตรายถึงขั้นระเบิด


ทางเจ้าหน้าที่ที่ดูแลขณะนั้น  ที่เป็นระดับสารวัตร จึงตัดสินใจให้เรือของกลางทั้งหมดไปผูกทิ้งทุ่นอยู่ข้างนอกท่าเรือ เพื่อจะได้ป้องกันการกระแทกกับขอบของท่าเรือ  โดยในช่วงเวลา 20.00 น. เจ้าหน้าที่ยังคงเห็นเรือเหล่านั้นเปิดไฟทำการอยู่ แต่ช่วงเวลา 22.00 น เรือปิดไฟ จนกระทั่งช่วงเช้าเมื่อตรวจสอบอีกครั้งจึงทราบว่าเรือทั้ง 3 ลำหายไปแล้ว

 พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า ทางการข่าวเชื่อว่าเรือของกลางที่สูญหายทั้ง 3 ลำมีความเกี่ยวข้องกับ ‘โจ้ น้ำมันเถื่อน’ หรือ ‘โจ้ ปัตตานี’ ขณะนี้เรือทั้งหมดที่หายไป ไม่อยู่ในน่านน้ำไทย แต่ไปอยู่ในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านแล้ว และยืนยันว่าการสูญหายครั้งนี้เป็นการหายที่มีผู้นำไปจากที่เกิดเหตุแน่นอน ขณะนี้ตำรวจมีชื่อผู้ที่กระทำความผิดแล้ว ถ้าถูกจับกุมตัวได้จะดำเนินการลงโทษอย่างร้ายแรง


กรณีที่เกิดขึ้นนี้ยอมรับว่าเป็นความบกพร่องของตำรวจน้ำ ซึ่งต้องมีการตรวจสอบหาผู้ที่ร่วมลงมือก่อเหตุ และจะต้องให้รับโทษทางกฎหมาย หากเป็นเจ้าหน้าที่จะต้องเจอบทลงโทษทั้งทางวินัยและทางอาญา แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ทางตำรวจน้ำไม่ได้ประสงค์ให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดแล้วก็ต้องตามจับให้ได้และต้องพิจารณาข้อบกพร่องของผู้ที่ดูแล


พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ ยอมรับว่าที่ผ่านมาทางตำรวจน้ำไม่เคยมีเรือขนาดใหญ่ 5 ลำ มาจอดเทียบท่าเรือพร้อมกัน ซึ่งเรือทั้ง 5 ลำนี้ ไม่ได้ทำแถบกันคลื่นที่รอบเรือ เมื่อมีรายงานว่าในทะเลจะเกิดคลื่นแรงจึงต้องตัดสินใจหาวิธีป้องกันอันตรายจากการกระแทก


ทั้งนี้ แนวทางในการนำเรือใหญ่ออกไปทิ้งทุ่นกลางทะเล ในช่วงที่เกิดมรสุมเป็นหลักปฏิบัติมาโดยตลอด เพราะถ้าเรือเทียบอยู่ใกล้ฝั่งแล้วเกิดการกระแทก อาจจะทำให้เกิดอันตราย แต่ทั้งนี้ก็ยอมรับว่า ยังมีวิธีป้องกันได้อีกหลายรูปแบบ ซึ่งตนก็ได้แจ้งกับผู้ที่ตัดสินใจแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่บกพร่องโดยแน่นอน ตั้งแต่ผู้สั่ง ผู้เฝ้า ผู้ที่ไม่รายงาน


ในส่วนมูลค่าความเสียหายเรือน้ำมันของกลางทั้ง 3 ลำที่หายไป ยอมรับว่าขณะที่ตรวจยึดมาไม่ได้มีการประเมินมูลค่า แต่โดยประมาณคาดว่าจะอยู่ที่ 10 ล้านบาท น้ำมันทั้งหมดที่สูญหายไปเป็นน้ำมันประเภทดีเซล


สำหรับปฏิบัติการค้นหา วานนี้ (13 มิ.ย.67) มีรายงานข่าวว่าปฏิบัติการค้นหาได้ลาดตระเวนไปถึงเกาะช้าง จังหวัดตราด ตามที่มีกระแสข่าวว่ามีประชาชนพบเห็น แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงในพื้นที่กลับไม่พบเรือทั้ง 3 ลำ ทำให้เชื่อได้ว่าเรือของกลางทั้งหมดน่าจะหลบหนีออกจากน่านน้ำไทยไปแล้ว


ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้คุยกับชาวประมงที่อาศัยอยู่ใกล้กับท่าท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ ให้ข้อมูลว่า เมื่อประมาณ 2-3 วันที่ผ่านมาคลื่นลมในทะเลแรงมาก ชาวบ้านต้องนำเรือที่เทียบอยู่ริมท่าเรือไปลอยกลางทะเล ทางราชการเองก็ต้องนำเรือไปจอดกลางทะเลเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุกับท่าเทียบเรือตามระเบียบ ส่วนจะจอดไกลเท่าใดไม่ทราบ ในวันเกิดเหตุที่เรือของกลางหาย เรือของชาวบ้านเองถูกคลื่นซัดจมหายเช่นกัน แต่เรื่องเรือน้ำมันของกลางหายอย่างไร  ยอมรับว่าไม่ทราบแต่หากเป็นจริงถือว่าเหลือเชื่อและเป็นเรื่องปฏิหารย์เพราะเรือน้ำมันมีขนาดใหญ่มากจะหายได้อย่างไร

--------------------

'บิ๊กเต่า' สั่งฟันตำรวจน้ำ เอี่ยวเรือน้ำมันหาย ยันถอด GPS ก็เดินเรือได้ เชื่อมีใบสั่งพาหนีไปหา 'โจ้ ปัตตานี' ที่กัมพูชา 

 ช่วงบ่ายวานนี้ (13 มิ.ย.67) พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการสอบสวน พร้อมคณะ เดินทางมาติดตามความคืบหน้ากรณีเรือบรรทุกน้ำมันของกลาง จำนวน 3 ลำ สูญหายพร้อมน้ำมันกว่า 300,000 ลิตร เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมกับลงพื้นที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ เพื่อตรวจสอบ เรือบรรทุก 2 ลำ จาก 5 ลำ ที่จอดอยู่ที่บริเวณท่าเทียบเรือ รวมถึงสอบสวนนายตำรวจที่เข้าเวรรักษาการณ์ ในคืนเกิดเหตุ ทั้ง 2 นาย นอกจากนี้ยังสั่งให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด และสอบปากคำลูกเรือที่เหลืออยู่ทั้งหมด จำนวน 10 คนด้วย


พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการสอบสวน ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียหายหรือเจ้าของเรือมาแสดงตัวเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ หลังจากเรือบรรทุกน้ำมันทั้ง 3 ลำ สูญหายตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา


ส่วนการติดตามเรือที่สูญหาย เป็นการบูรณาการร่วมกันของตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่าเรือบรรทุกน้ำมันทั้งสามทั้ง 3 ลำ ไม่ได้จมทะเลตอนที่สภาพอากาศแปรปรวน แต่เชื่อว่ามีการนำพาไปโดยคนขับอาจจะมีความรู้ เกี่ยวกับการนำแอพ หรือข้อมูลในเว็บไซต์มาใช้ เพื่อบังคับเรือ เนื่องจากตำรวจได้ตรวจยีด ถอดอุปกรณ์ เดินเรือและ GPS ออกจากตัวเรือแล้ว ซึ่งประเด็นดังกล่าวยืนยันว่าจะมีการสอบสวนอย่างจริงจัง และต้องมีผู้กระทำความผิด


โดยเรื่องนี้จะต้องมีผู้รับผิดชอบคดีนี้โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ลูกเรือที่นำเรือหนี และ เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำที่ปล่อยปละละเลยให้ของกลางสูญหาย นอกจากนี้จะต้องสอบสวนให้ได้ว่าเรือที่นำไปจอดห่างจากท่าเรือ 100 เมตร มีลูกเรือขึ้นไปขโมยเรือได้อย่างไร มีการคุมเข้มการป้องกันการเดินเรือหรือไม่ เพราะจากกล้องวงจรปิดพบว่าเรือได้ปิดไฟก่อนจะหายไปในเวลา 20.10 น. ของวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา


เบื้องต้นพบว่า มีนายตำรวจที่จะต้องถูกดำเนินคดีฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 และมาตรา 148 อย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นใครบ้าง ขอเวลาในการตรวจสอบในรายละเอียด ซึ่งขณะนี้ได้สั่งการให้กองบังคับการปราบปราม ตำรวจปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และตำรวจปราบปราม ปปป. เร่งคลี่คลายคดี


ส่วนการสืบสวน เบื้องต้น พบว่า เรือทั้งสามลำ เป็นของ ”โจ้ ปัตตานี“ ที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญหายครั้งนี้ ส่วนเส้นทางการหลบหนีของเรือ จากท่าเทียบเรือสัตหีบ ไปยังน่านน้ำของกัมพูชา ระยะทางรวมประมาณ 240 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทาง กว่า 15 ชั่วโมง เนื่องจากเรือมีน้ำหนักมาก ทำความเร็วได้ไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมกับเชื่อว่า จะไม่มีการปล่อยทิ้งน้ำมันในทะเล เนื่องจากมีมูลค่า ดังนั้นต้องมีการนำไปจำหน่ายที่ประเทศกัมพูชา เพราะกระแสข่าวทราบว่า “โจ้ ปัตตานี” ยัง อาศัยอยู่ที่นั่น


เมื่อถามว่า ภาพลักษณ์ของกองบัญชาการสอบสวนกลาง จะเสียหายหรือไม่ เมื่อตำรวจกองปราบ และ ปอศ. จับกุม แต่ตำรวจน้ำกลับปล่อยให้หายไป พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ยืนยันว่าไม่ใช่การเสียหน้า แต่ทุกอย่างจะต้องมีการสอบสวนอย่างละเอียด ว่ามีบุคคลใดที่เข้าข่ายบกพร่องหรือทุจริต ซึ่งตำรวจ บชก. ดำเนินการโดยไม่ละเว้น


ด้าน พ.ต.อ. อินทรัตน์ ปัญญา ผกก.5 บก.รน. เปิดเผยว่า สำหรับคดีน้ำมันเถื่อนที่ตรวจยึดทั้ง 5 ลำ เป็นการจับกุมของตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและ กองบังคับการปราบปราม แล้วส่งมอบเรือ พร้อมผู้ต้องหา 28 คน ให้ตำรวจน้ำเป็นผู้ดูแลรักษา ในส่วนของทรัพย์สินและของกลาง  ส่วนน้ำมันเป็นของกรมสรรพสามิตร เข้ามาตรวตยึดและอยู่ระหว่างขายทอดตลาด และได้ถอดชิ้นส่วน พวงมาลัยเดินเรือและGPS ออก


ตามระเบียบการเก็บรักษาของกลาง สตช. มีระเบียบชัดเจนว่า ต้องมีเจ้าหน้าที่ดูแลรักษา 24 ชั่วโมง แต่ในวันดังกล่าว เกิดสภาวะอากาศแปรปรวน และมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ จึงมอบหมายให้ผู้ต้องหา นำเรือออกไปจอดและทอดสมอกลางทะเล แต่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าสังเกตุการณ์ อยู่บนสะพานสังเกตการณ์อย่างชัดเจน ซึ่งวันดังกล่าวในช่วงเวลากลางคืน เวลา 20.11 นาที ยังพบเรือตอดอยู่ แต่มาตอนเช้าพบว่าเรือหายไปจากจุดแล้ว


อย่างไรก็ตาม ระยะทางจากสถานีตำรวจน้ำสัตหีบ ไปถึงประตูทางเข้าท่าเทียบเรือฯ ประมาณ 30 เมตร และจากประตูท่าเทียบเรือ ไปยังจุดจอดเรือของกลาง


ด้านลูกเรือ “เรือกำไลเงิน” ที่เฝ้าเรืออยู่ที่ท่าเรือตำรวจน้ำสัตหีบ ยอมรับว่า วันเกิดเหตุ สภาพอากาศเลวร้าย ทางไต๋ก๋ง เลยสั่งให้ เรือพร้อมกับลูกเรือ ไปจอดทอดสมอห่างจากท่าเทียบเรือโดยจอดห่างกันประมาณ 100 เมตร โดยวันดังกล่าวตัวเองได้เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำตามปกติ ทำให้ไม่ทราบว่าเหตุการณ์วันดังกล่าวเกิดอะไรขึ้น พอตื่นเช้ามาก็พบว่าเรือหายไปแล้ว


ส่วนลูกเรือของเรือทั้ง 3 ลำ ที่สูญหาย  ยอมรับว่ารู้จักกันทั้งหมด ซึ่งแต่ละลำจะมีลูกเรือประมาณ 4-5 คน ส่วนใหญ่เป็นคนไทย พร้อมกับยืนยันว่า เรือไม่ได้ถูกคลื่นซัดจมทะเล แต่การขับเรือโดยไม่มีเรดาร์ หรือ GPS ส่วนตัวไม่มีความรู้


ขณะที่ไต๋ก๋ง เรือ ช.โชคบุญชู หนึ่งในเรือสองลำที่ไม่ได้สูญหาย เล่าให้ฟังว่า เรือของตัวเองมีน้ำหนักเบา ไม่มีบรรทุกน้ำมัน จึงจอดอยู่บริเวณริมท่าเทียบเรือ ส่วนอีกสามลำ ที่สูญหาย บรรทุกน้ำมัน เมื่อเกิดลมพายุรุนแรง จึงถูกให้ย้ายไปทอดสมอ อยู่กลางทะเล ซึ่งตัวเองไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สั่งการ โดยยอมรับว่าหากเป็นสถานการณ์ปกติ หากมีสภาพอากาศแปรปรวนเลวร้าย เรือที่มีน้ำหนักก็จะถูกสั่งให้ไปทอดสมอห่างจากท่าเทียบเรือ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุกลับท่ากระแทกกับท่าเทียบเรือเสียหาย



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/b2qPAg-9Fl4

คุณอาจสนใจ

Related News