สังคม

'ชัชชาติ' ไม่ทนกับทุจริต! นายช่างโยธา กทม. ถูกจับรับสินบน 9 ล้าน อ้างช่วยแก้แนวเขตถนน

โดย petchpawee_k

21 พ.ค. 2567

453 views

4 ป. บุกจับนายช่างโยธา กทม. พร้อมพวก รวม 4 คน เรียกสินบน 9 ล้าน อ้างช่วยแก้แนวเขตถนนไม่ให้ล้ำสนามกอล์ฟ  ตร.เผย ผู้ต้องหาทั้ง 4 ยังให้การปฏิเสธ เชื่อมีตัวการใหญ่กว่านี้เอี่ยวด้วย อยู่ระหว่างสอบขยายผล ด้าน “ชัชชาติ” ย้ำ ไม่ทนกับการทุจริต ระบุทราบข้อมูลมาก่อนหน้านี้แล้ว ประสานข้อมูลร่วมกับ ปปป.มาตลอด ให้ให้ได้ข้อมุลที่ชัดเจน จนนำมาสู่การจับกุมใน


วานนี้ (20 พ.ค.67) เวลา 06.00 น. ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ได้นำหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง บุกค้นบ้านพักและจับนายภีมพงษ์ นายช่างโยธาชำนาญงาน กทม. ระดับ C6  และพวกอีก 3 ราย รวม 4 ราย


โดยนายภีมพงษ์ ช่างโยธาชำนาญงาน กองจัดกรรมสิทธิ์ สำนักงานโยธากรุงเทพหมานคร และภรรยา ในโครงการหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พื้นที่ ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เรียกรับเงินกว่า 9 ล้าน แก้แบบถนนไม่ให้ตัดผ่านสนามกอล์ฟเอกชน พร้อมนำหมายค้นตรวจค้นอีก 4 จุด รวม 5 พื้นที่ 4 จังหวัด คือ กทม.  นนทบุรี  ปทุมธานี และนครราชสีมา   


ซึ่งปฏิบัติการครั้งนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 4 คน  ประกอบด้วย นายภีมพงษ์ อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาหลัก โดยถูกกล่าวหาว่า “เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใด ในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบฯ ซึ่งนายภีมพงษ์ ถูกจับได้พร้อมภรรยา คือน .ส.อรนุชฯ อายุ 37 ปี  ส่วนอีก 2 คน คือ นายปองพลฯ อายุ 51 ปี ผู้ต้องหา และ น.ส.นลินดา อายุ 37 โดนข้อหาสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐแสวงหาประโยชน์


เบื้องต้นในชั้นจับกุม และบุกคนที่บ้านในพื้นที่ จ.นนทบุรี ก่อนจะนำตัวมาที่ ปปป. นักข่าวพยานายภีมพงษ์ ว่าได้ทำจริงหรือไม่  เจ้าตัวปิดปากเงียบ ไม่ตอบสื่อ เดินขึ้นรถเจ้าหน้าที่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย 


ทั้งนี้ จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ยึดทรัพย์สินได้รวมมูล ค่ากว่า 42.9 ล้านบาท ประกอบด้วย รถยนต์ Mercedes Benz 1 คัน  รถยนต์ Toyota Camry 1 คัน  รถยนต์ toyoya altis 1 คัน รถมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson  5 คัน อาวุธปืน 4 กระบอก  เครื่องกระสุน โฉนดที่ดิน 2 ฉบับ   ตั๋วจำนำทองคำหนัก 100 บาท มูลค่ารวมประมาณ 4,335,000 บาท และเอกสารต่าง ๆ


นอกจากนี้ มีรายงานว่ายังสามารถยึดรถยนต์ Porsche 911 สีขาว ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ พระเครื่อง  ตั๋วจำนำนาฬิกาโรเล็กซ์ มูลค่าประมาณ 150,000 บาท  และสร้องคอทองคำ จำนวน 2 เส้น หนัก 20 บาท มูลค่าประมาณ 800,000 บาท  รวมทั้งวิ้ 42.9 ล้านบาท


จากนั้นเวลา 17.00 น. ทั้ง 4 ป. ได้ร่วมกันแถลงปฏิบัติการที่ใช้ชื่อว่า “ทลายแก๊ง 1 %” เนื่องจากเครือข่ายดังกล่าวทำเป็นกระบวนการมักจะเรียกรับเงินจากโครงการต่าง ๆ เป็นจำนวน 1 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งการแถลงนำโดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ ประทุมราช ผกก.1 บก.ปปป.  พร้อมด้วยนายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท.   พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้อำนวยการกองปราบการทุจริตในภาครัฐ 2 และนายสุทธิศักดิ์ สุมน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกฎหมาย สำนักงาน ป.ป.ง.


โดย พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ ประทุมราช ผู้กำกับการ 1 บก.ปปป. ได้อธิบายถึงพฤติการณ์ ว่า เมื่อเดือน ต.ค. 2561 เจ้าของสนามกอล์ฟได้รับหนังสือจากสำนักงานจัดการกรรมสิทธิ์ สำนักงานโยธา กรุงเทพมหานคร โดยในหนังสือแจ้งว่ากรุงเทพมหานครมีโครงการก่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น ซึ่งปรากฏโฉนดที่ดินของบริษัทฯ อยู่ในแนวเขตก่อสร้าง


จากนั้นเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2561 นายภีมพงษ์ฯ พร้อมกับ  นายปองพลฯ ผู้รับเหมาเข้ามาสำรวจที่ดินในวันดังกล่าว ซึ่งนายภีมพงษ์ฯ แจ้งว่าหากต้องการขยับแนวเขตถนนโครงการก่อสร้างต้องมีค่าใช้จ่าย และนายภีมพงษ์ฯ จะดำเนินการให้


โดยนายภีมพงษ์ ได้ติดต่อกับเจ้าของสนามกอล์ฟเอกชนรายหนึ่ง  อ้างว่า “โครงการถนนทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างถนนเลียบวารี ถนนสุวินทวงศ์ และถนนคุ้มเกล้า” ที่ กรุงเทพมหานคร กำลังดำเนินการอยู่ มีแนวเขตล้ำไปในพื้นที่ของสนามกอล์ฟจำนวนมาก หากไม่อยากเวียนคืนที่ดินจะต้องจ่ายค่าดำเนินการเป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท ก่อนใช้วิธีให้ “นายปองพล” ผู้ต้องหาตามหมายจับอีก 1 คน มาเซ็นสัญญาจ้างและเป็นผู้สำรวจออกแบบเพื่อรับเงิน


หลังจากนั้น นายภีมพงษ์ ได้ติดต่อกับเจ้าของสนามกอล์ฟอีกครั้ง อ้างว่า หากทำถนนในรูปแบบเดิมจะบดบังทัศนียภาพของสนามกอล์ฟโดยบอกว่าจะออกแบบเป็นถนนทางลอดด้านล่างให้ ก่อนเรียกรับเงินเพิ่มเป็นจำนวน 1,500,000 บาท ซึ่งครั้งนี้ นายภีมพงษ์ ใช้ “น.ส.ลินดา” หญิงตกเป็นผู้ต้องหา ที่อยู่ในขบวนการมาเซ็นสัญญาจ้างฯ เพื่อรับเงิน


แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไป เจ้าของสนามกอล์ฟจึงไปติดตามทวงถามอีกครั้ง ปรากฏว่า นายภีมพงษ์ เรียกเงินเพิ่ม 2,500,000 บาท บอกว่าเป็นค่าติดตามทวงถาม โดยรอบนี้ให้ “น.ส.อรนุช” ภรรยาของตัวเองเซ็นสัญญาจ้างฯเพื่อรับเงิน แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไปอีก ช่วงปี 2565 เจ้าของสนามกอล์ฟจึงไปติดตามทวงถามถึงสำนักงาน กทม. ก่อนทราบว่า โครงการสร้างถนนสายดังกล่าวไม่ได้มีแนวเขตล้ำพื้นที่สนามกอล์ฟของตัวเอง และถูกนายภีมพงษ์ แอบอ้างใช้ตำแหน่งเรียกเงิน  


พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ  ยืนยันว่า โครงการนี้มีอยู่จริง และแบบก็มีอยู่จริง แต่ที่นายช่างโยธา เดินสำรวจและอ้างไม่เป็นความจริง ซึ่งไม่ได้มีการพัดผ่านหรือกินพื้นที่เข้าไปเยอะอย่างพี่ผู้ต้องหาได้มีการกล่าวอ้าง ซึ่งตามโครงการซอย 13 ถนนสุวินทวงศ์ จนถึงโรงเรียนสุเหร่า และเชื่อมต่อถึงถนนเลียบวารี 


โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสำนักการโยธาออกสำรวจกรรมสิทธิ์เวนคืน  แต่เจ้าหน้าที่โยธาไป แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวแต่ไปด้วยกันแอบอ้าง ทำแผนที่ปลอมขึ้นมาแล้วไปที่สนามกอล์ฟ และหลอกเจ้สของสนามกอล์ฟ ว่า ถนนที่ต้องสร้างล้ำเข้าไปพื้นที่ของสนามกอล์ฟเกินความเป็นจริงทำให้เกิดการเรียกรับหรือต่อรอง ว่า สามารถไปคุยกับทางผู้ใหญ่ และ เจ้าหน้าที กทม.มาเปลี่ยนแบบตัวนี้ได้ จากนั้นมีการเจรจาต่อรองปรับแบบ โดยผู้ต้องหาไม่สามารถเปลี่ยนแบบได้ หากมีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงต้องมีเรื่องส่งตรงไปยัง ผู้ว่าฯ กทม.อนุมัติ จนกระทั่งเรียกรับเงินทั้งสิ้นไปทั้งหมด 9 ล้านบาท


ด้าน พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้อำนวยการกองปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ 2 กล่าวถึงสาเหตุที่ไทม์ไลน์เรื่องยาวนาว ตั้งแต่ปี 61-67 ซึ่งที่เราสนใจคือ ปี 61 นายภีมพงษ์ เริ่มต้นแผนประทุษกรรมด้วยการเข้าไปและมีการเรียกรับเงินถึง 3 ช่วงเวลาเมื่อมีการจ่ายเงินไปแล้ว มีบางช่วงคือปี 62-63 ที่หายไป แล้วอ้างว่าติดโควิด-19 อยู่ระหว่างการดำเนินการ  จากนั้นปี 65 ฝั่งเจ้าของสนามกอล์ฟ เอะใจและได้เข้าไปสอบถาม จนท. กทม. จึงได้ความไปว่าโครงการมีอยู่จริง แต่ไม่ได้ไปทับแนวเขตสนามกอล์ฟอย่างที่ผู้ต้องหาอ้าง จนตกใจและยอมจ่ายเงินเพื่อแลกกับการย้ายแนวเขต จากนั้นเริ่มร้องทุกข์


ขณะที่นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ ป.ป.ช. เสริมว่า จากข้อมูลที่สืบสวนพบทรัพย์สินที่ยึดได้มูลค่า 40 กว่าล้านบาท ซึ่ง ป.ป.ช. เอง ให้ความสำคัญเรื่องการยกเหตุอันควรสงสัยกรณีร่ำรวยผิดปกติ กรณีที่ เจ้าหน้าที่ของรัฐมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ ซึ่งผู้ต้องหารายนี้เป็นเพียงแค่นายช่างโยธา และขอนำเรียนว่า นายภีมพงษ์ มีภรรยา 5 คน ใน 5 คนนี้ มีลูกทุกคน ทาง ป.ป.ช. จึง ตั้งข้อสังเกตว่าเงินเดือนเพียงเท่านี้จะเอาเงินจากไหนมาเลี้ยงลูกและภรรยา รวมทั้งมีรถหรูหลายคัน จึงยกเหตุนี้เหล่านี้มาเพื่อตั้งข้อสงสัย


ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก กล่าวว่า เบื้องต้นจากสอบถามปากคำ ผู้ต้องหา ทั้ง 4 ราย ยังให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบ และอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะให้ประกันหรือไม่  นอกจากนี้ จะมีการขยายผลต่อ เนื่องจากข้อมูลพบว่าผู้ต้องหามีภรรยาทั้งหมด 5   ซึ่งตอนนี้ที่พบ 1 คน ยังมีอีก 4 คนที่ยังอยู่ระหว่างการสืบทรัพย์อยู่เพราะเชื่อว่ามีมากกว่า 100 กว่าล้านบาท  และยังไม่เชื่อว่านายภีมพงษ์ กระทำผิดคนเดียว  โดยยังเชื่อและตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้ใหญ่หนุนหลังหรือไม่ ทำไมถึงได้ใช้พฤติกรรมเอาข้อมูลไปหลอกให้มีการจ่ายเงิน ซึ่งเรื่องนี้ดังใน กทม. และส่งข้อมูลให้ชุดสอบสวน


พล.ต.ต.จรูญเกียรติ  กล่าวว่า หลายคนจะรู้ว่า กทม. เหมือนรัฐๆหนึ่ง หากมีความผิดขึ้นมาการตรวจสอบจะจบทั้งหมดเลย จะไม่มาถึงขั้นตอนการตรวจโดยหน่วยงานทุจริต มีเรื่องอะไรที่เป็นความผิดทุจริต ซึ่งข้าราชการ กทม.ส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่ากระทำความผิดทุจริตยังไง เพราะว่ามีการช่วยเหลือกันจนจบทุกเคสและทุกกรณี แต่ช่วงที่ผ่านมา ขอบอกว่าไม่ได้อวย แต่ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เอาจริงเอาจังเรื่องนี้ จะเห็นว่ามีการจับกุมและส่งข้อมูลให้หน่วยตรวจสอบมาดำเนินการหลายเรื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้เราทำงานประสานกัน


ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึง กรณีนี้ว่า กทม.ให้ข้อมูลกับ ปปป.มาโดยตลอด เนื่องจากในความจริงแล้ว ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องเจ้าหน้าที่เพียงเคสเดียว แต่ขณะมีมีเรื่องที่ กทม.กำลังทำงานร่วมกับ ปปป.อยู่ทั้งหมด 6 เคส  พร้อมยืนยันว่า ตนเองจะไม่อดทนกับการทุจริตแล้ว แต่เรื่องการสืบสวนต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงดำเนินการ เพื่อให้ได้รายละเอียดที่ชัดเจน


ส่วนการดำเนินการทางวินัยจากนี้ไป กทม.ต้องดูข้อมูลรายละเอียดจาก ปปป.ก่อน ว่ามีความผิดอย่างไรบ้าง แต่ถือมีความผิดค่อนข้างชัดเจนแล้ว เนื่องจากมีน้ำหนักเพียงพอ จนทำให้ศาลอนุมัติการออกหมายจับได้ ส่วนรายละเอียดว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูล เพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้า ปปป.ในการสอบสวนดำเนินการ ยืนยันว่าเรื่องนี้ กทม.ทราบเรื่องมาก่อน และให้ความร่วมมือกับ ปปป.ต่อเนื่อง  จนถึงการเข้าจับกุมครั้งนี้ เพราะเรื่องทุจริต ความโปร่งใส เป็นเรื่องที่ตนเองให้ความสำคัญ เราจะเปลี่ยนกรุงเทพมหานครไม่ได้เลย ถ้าเราไม่จัดการเรื่องทุจริตคอร์รัปชันให้หมดไป การจับกุมในครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี คนอื่นจะได้ไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง และทุกคนจะได้รู้ว่าตนองเอาจริงในเรื่องนี้มากๆ


สำหรับโทษทางวินัยของเจ้าหน้าที่โยธารายนี้ หนักที่สุดคือ การไล่ออก ปลดออก ส่วนจะใช้เวลาสอบสวนนานแค่ไหน ยังบอกไม่ได้ เพราะเป็นไปตามกระบวนการ ต้องมีการตั้งกรรมการขึ้นมาก่อน แต่คิดว่าผลการสอบสวนจะออกมาเร็วๆนี้ ใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 6 ซึ่งทางปลัด กทม. หรือทางสำนัก สามารถตั้งกรรมการสอบได้เลย


ส่วนมาตรการป้องกันการทุจริตใน กทม.นั้น ทุกวันนี้ยอมรับว่าบุคคลภายนอกและประชาชน กล้าจะนำข้อมูลมาบอกกับ กทม.มากขึ้น หมายความว่าประชาชนรู้ว่า กทม.เอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ ดังนั้นขั้นแรกเลย กทม.ต้องทำให้เห็นว่าตนเองเอาจริงเอาจังเรื่องการตรวจสอบทุจริต เพื่อทำให้คนที่ถูกเรียกรับเงิน หรือถูกรีดไถ กล้ามาบอกกับ กทม.มากขึ้น เพราะ กทม.จะไม่เอาไปซุกไว้ใต้พรม แต่จะดำเนินการต่อเนื่อง


ส่วนที่ 2 ผู้ว่า กทม.มองว่าข้อมูลที่เปิดเผยชัดเจน มีระเบียบการปฏิบัติชัดเจน และมีการนำข้อมูลไว้ในระบบออนไลน์ การเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างอย่างโปร่งใส คนจะถึงข้อมูลโอเพ่นดาต้าได้ง่ายขึ้น และส่วนที่ 3 กทม.พยายามจะลดการใช้วิจารณญาณของบุคคลลง  เพราะทุกอย่างมีขั้นตอนชัดเจน และกำลังทำระบบการขออนุญาตออนไลน์ให้มากขึ้น เพื่อลดการเจอหน้าของประชาชนและเจ้าหน้าที่ให้น้อยลง


ส่วนตัวเชื่อว่าสถานการณ์การทุจริตดีขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนทุจริต เพราะคนทุจริตก็ยังมี แต่มีระบบที่ช่วยให้ทำทุจริตได้ยากขึ้น ดังนั้น กทม.กล้ายืยันในเรื่องนี้ เพราะผู้บริหาร กทม.ทุกคน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการทุจริตอย่างแน่นอน



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/WDoYCuxzxjI

คุณอาจสนใจ

Related News