สังคม

ย้อนความเชื่อมโยงโกดังภาชี-บริษัทเก็บสารอันตราย ด้าน 'พิมพ์ภัทรา' คาดเริ่มกำจัดสารเคมีได้ มิ.ย.นี้

โดย thichaphat_d

3 พ.ค. 2567

50 views

สำรวจโกดังเก็บสารเคมี อ.ภาชี พบเอกสารประกันภัยส่งถึงเจ้าของรถบรรทุกเป็นผู้เอาประกันชื่อบริษัทเอกอุทัย วางคอนโซลหน้ารถ / ย้อนความเชื่อมโยงโกดังไฟไหม้และบริษัทที่เก็บจากสารเคมีอันตราย

กรณีเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บกากสารเคมี 4,000 ตัน 5 โกดัง ในพื้นที่หมู่ 2 ต.ภาชี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา โดยเพลิงได้ไหม้โกดังหลังที่ 3-4-5 โกดังที่อายัดกากสารเคมีของกลางกรดเข้มข้นไว้จำนวนมาก

วานนี้ (2 พ.ค.) ทีมข่าวเดินไปโกดังหลังที่ 1 ซึ่งถูกวางเพลิงครั้งก่อนเมื่อ 29 ก.พ.67 มีรถบรรทุกสารเคมีของกลาง ถูกยึดอายัดไว้จอดอยู่ในโกดัง 1 มองผ่านกระจกหน้ารถบรรทุกเห็นเอกสารหลายฉบับวางอยู่แนบชิดกระจก แบบหงายหน้าซองจดหมายขึ้น มองจากนอกรถจะเห็นเอกสารและตัวหนังสือแบบกลับหัว เอกสารนั้นเป็นประกันภัยรถบรรทุกคันนี้ ส่งถึงเจ้าของรถบรรทุกที่เป็นผู้เอาประกัน ชื่อบริษัทเอกอุทัย ที่ตั้ง ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

เอกสารนี้ยืนยันว่ารถบรรทุกสารเคมีของบริษัทเอกอุทัย สาขากลางดง เกี่ยวข้องกับโกดังนี้แน่นอน ทั้งนี้บริษัทเอกอุทัย สาขากลางดง ก็อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีฐานครอบครองกากสารเคมีโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน ทั้งที่เก็บในโกดังและที่ถูกกล่าวหาว่าฝังกลบอีกมากในพื้นที่ติดกัน

ทีมข่าวย้อนให้เห็นความเชื่อมโยงของกรณีนี้ คือต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปีที่แล้วได้รับการร้องเรียนว่า มีการเทของเหลว เป็นกรดเข้มข้น ในเขตนิคมและพืน้ที่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมแก่งคอย ในวันนั้นฝ่ายปกครองตามจับคนขับรถไว้ได้ คนขับสารภาพว่ารับจ้างมา โดยมีใบกำกับภาษีผู้ว่าจ้างไว้ด้วย

จากการแกะรอยจากกล้องวงจรปิด พบรถที่นำขยะเทไป มีถังสารเคมีที่ผ้าใบคลุม แต่กลับเห็นช่องทางเปิดผ้าใบชัดเจน ยิ่งกว่านั้น ปรากฎชายกลุ่มหนึ่งขับรถกระบะ ปีนขึ้นไปรถบรรทุกของกลาง โดยมีผู้บันทึกภาพได้ ปรากฏว่าเมื่อนำรถกระบะมาตรวจสอบทะเบียนพบว่าเป็นรถจดทะเบียนของบริษัทเอกอุทัย ต.สามบัณฑิต อ.อุทัย

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ราว 26 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ก็พบเบาะแสว่ามีการนำกากสารเคมีมาเก็บในโกดัง อ.ภาชี ทั้ง 5 โกดัง ฝ่ายปกครองวางแผนสกัดจับ ในเวลากลางคืนจนยึดรถคันนี้ไว้ได้ จากนั้น เทศบาลตำบลภาชี ใช้อำนาจท้องถิ่นเข้าตรวจจสอบ ก็พบรถบรรทุกของกลางหลายคันจอดอยู่ในโกดัง ในเอกสารจากรถบรรทุก ก็พบเอกสารบางฉบับของบริษัท วินโพร เสส ในรถบรรทุกเหล่านี้ด้วย

ตั้งแต่นั้นเจ้าหน้าที่ก็แกะรอยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากบัญชีทะเบียนรถเข้าออก โกดังเก็บสารเคมีเถื่อนนี้ มีทะเบียนรถที่แจ้งจดไว้กับ บ.เอกอุทัย และใช้รับกากของเสียอันตรายจากบริษัทต้นทางอีกหลายแห่งปรากฎด้วย นี่ยังไม่รวมถึงเอกสารการเช่า หลักฐานการจ่ายค่าเช้า หรือบิลค่าน้ำ ที่เชื่อมโยงกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ บ.วินโพรเสส

ถัดมาคือบริษัท ซันเทคฯ ที่ อ.อุทัย เจ้าหน้าที่พบว่าได้ใบอนุญาตคัดแยกขยะประเภทขยะ แต่กลับลักลอบเก็บกากของเสียอันตรายรวมกว่า 8 พันตัน มีลากเกอร์บอกซ์ ที่มีโลโก้ หรือลาเบล ของเอกอุทัย ชนิดของกากสารเคมี ตรงกันและบันทึกทะเบียนรถเข้าออกบางคัน เป็นทะเบียนเดียวกันระหว่างรถทีวิ่งเข้าโกดัง อ.ภาชี กับ อ.อุทัย

ข้อมูลความเชื่อมโยงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่ง ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม แกะรอยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และนำส่งมอบให้พนักงานสอบสวน ปทส. พร้อมกับกรมควบคุมมลพิษเพื่อเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง ใน 3 ฐานความผิดคือ พ.ร.บ. โรงงาน / พ.ร.บ.วัตถุอันตราย และพ.ร.บ.ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ คดียังไม่ขึ้นสู่กระบวนการชั้นศาล

------------------------------

รมว.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเหตุเพลิงไหม้โกดังสารเคมี ไหว้ขอโทษภาชี คาดจะเริ่มดำเนินการกำจัดได้ภายในต้นเดือน มิ.ย.นี้


เวลา 15.00 น. นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ไปตรวจสอบโกดังดังกล่าว เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ล่าสุดและบอกถึงขั้นตอนการดำเนินการหลังจากนี้ ว่านอกจากกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้กำชับการดูแลเจ้าหน้าที่ในการเข้าปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัยแล้ว ขณะนี้ได้เตรียมการดูแลประชาชนในโดยการเยียวยาเบื้องต้นทั้งการเยียวยาจิตใจ

ส่วนแนวทางการในการกำจัดสารเคมี ที่ยังเหลืออยู่ในพื้นที่ เนื่องจากชาวบ้านต้องการให้นำออกไปโดยเร็วที่สุดนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บอกว่าจะต้องเริ่มจากแยกของสารเคมีออกแบบที่โดนเผา และไม่โดนเผา และต้องเข้าดำเนินการอย่างเร่งด่วน และกระทรวงฯ มีงบประมาณมาส่วนหนึ่ง ก็จะต้องมาจัดลำดับความสำคัญ อันไหนไวไฟ และอันไหนไม่ไวไฟ โดยแยกประเภทสารเคมี แล้วดูลำดับความสำคัญในการกำจัด เพราะสารเคมีที่นี่มีหลายชนิด คาดว่าจะเริ่มดำเนินการกำจัดได้ภายในต้นเดือน มิถุนายนนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในตุลาคม นี้ เพราะงบประมาณที่ใช้คืองบประมาณของปี 2567

อย่างไรก็ตามนางสาวพิมพ์ภัทรา ยอมรับว่า เรื่องงบประมาณในการจะนำมาใช้กำจัดสารเคมียังมีข้อจำกัด  เนื่องจากงบประมาณปกติที่ได้รับจัดสรร 6.9 ล้านบาท ไม่เพียงพอในการกำจัดสารเคมีทั้งโกดัง โดยหากจะกำจัดทั้งหมด คาดว่าจะต้องต้องใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 70 ล้านบาท ซึ่งอาจจะต้องของบกลาง แต่ต้องมีเหตุอันสมควรและมีแผนงานที่ชัดเจน ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดสุดท้ายต้องไปไล่บี้ฟ้องกับผู้ประกอบการ คือผู้ผลิตกาก คนขนส่ง และเจ้าของโกดัง

นางสาวพิมพ์ภัทรา เน้นย้ำว่า ส่วนตัวไม่แก้ปัญหาปลายเหตุคือของบกลางจัดการจุดที่มีปัญหา แต่ต้องรวบรวมจุดที่มีปัญหาทั้งหมดว่ามีที่ไหนบ้าง และทำแผนจัดความสำคัญว่าที่ไหนต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ มองว่าเจ้าไหนที่มีปัญหาต้องลงโทษอย่างชัดเจน

กรณีโรงงานที่นี่มีความเชื่อมโยงกับที่ จ.ระยอง และพื้นที่อื่น มองว่าไม่ใช่แค่เรื่องของกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว แต่เป็นเรื่องความมั่นคง เพราะวันนี้มีแต่การแก้ปัญหาหน้างาน หากไม่สร้างความรู้สึกว่าทำผิดแล้วต้องโดนรับโทษอย่างร้ายแรง ซึ่งไม่ใช่แค่กระทรวงอุตสาหกรรม แต่ต้องทำงานร่วมกันหลายหน่วย ในการทำให้เห็นว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นอีกไม่ได้

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/iMPE7j4JOhI

คุณอาจสนใจ

Related News