สังคม

ตำรวจไซเบอร์บุกจับอดีตผู้สมัครสส. รับปลอมเอกสารทำวีซา เปิดทางผีน้อยโซนยุโรป

โดย gamonthip_s

11 เม.ย. 2567

561 views

พลตำรวจโทวรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) พร้อมด้วย พลตำรวจตรีนิเวศน์ อาภาวศิน รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกันแถลงข่าว ปฏิบัติการบุกบริษัทอดีตผู้สมัครสส.บัญชีรายชื่อ ทลายแก๊งรับปลอมเอกสารยื่นขอวีซานิวซีแลนด์ เปิดทางผีน้อยโซนยุโรป



โดยเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 67 เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายจำนวน 2 จุด ได้แก่ บ้านพักหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 5 ตำบลเชียงพิณ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี และบริษัทในพื้นที่ หมู่ 5 ตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี



ก่อนหน้านี้ ตำรวจได้รับประสานข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ว่า พบการปลอมแปลงเอกสารในการยื่นขอต่อวีซาแบบออนไลน์ ทางเว็บไซต์ของสถานทูตนิวซีแลนด์ ซึ่งมีเอกสารถูกปลอมแปลงเกี่ยวกับรายการเดินบัญชี จำนวน 6 ราย และเอกสารรับรองการทำงานจำนวน 5 ราย นอกจากนี้ยังพบข้อมูลเอกสารปลอมในลักษณะเดียวกัน ที่ถูกแชร์ระหว่างประเทศพันธมิตรทั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์



จากการสืบสวนของตำรวจ สอท.3 พบว่าเอกสารปลอมดังกล่าวมีที่มาจากบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนายจิรสินอายุ 50 ปี ชาวอุดรธานี อดีตผู้สมัครสส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองแห่งหนึ่งเป็นเจ้าของบริษัท และจากการตรวจสอบเฟซบุ๊กของบริษัทนี้ยังพบว่า มีผู้ติดตามเกือบ 2 หมื่นคน และมีการโฆษณาว่า รับแต่งบัญชีเพื่อประกอบการยื่นขอวีซาเข้าประเทศนิวซีแลนด์ และกลุ่มประเทศพันธมิตร เจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการขอหมายค้นและเข้าตรวจค้น



จากการเข้าตรวจค้นทั้ง 2 จุด พบตัวนายจิรสิน และสามารถตรวจยึดของกลางได้จำนวนหลายรายการ ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์, อุปกรณ์สำรองข้อมูล, เอกสารทางการเงิน, สมุดบัญชีลูกค้า, รายการบันทึกลูกค้า, เอกสารที่เกี่ยวกับการขอวีซ่า และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนายจิรสินยอมรับว่าได้นำเอกสารตัวจริงไปสแกน แล้วใช้โปรแกรมตกแต่งภาพทำการแก้ไขข้อมูล ตกแต่งตัวเลขทางบัญชีของลูกค้าให้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือในการยื่นขอวีซากับสถานทูต และได้นำเอกสารที่ปลอมแปลงนี้ไปยื่นกับทางสถานทูตผ่านทางช่องทางออนไลน์



โดยจากการตรวจสอบพบว่า ขณะนี้มีลูกค้ายื่นความประสงค์ให้บริษัทดำเนินการลักษณะดังกล่าวแล้วประมาณ 120 คน ซึ่งคิดค่าใช้จ่ายคนละละ 25,000 บาท รวมเป็นเงินกว่า 3 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหาในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งการกระทำลักษณะนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ยื่นขอวีซาสามารถเข้าไปทำงานแบบผิดกฎหมายในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้วย

คุณอาจสนใจ

Related News